ป้ายบอกทางตกแต่งลายรถม้า อ.เมือง จ.ลำปาง ที่มา : โปสการ์ด จาก "ร้านม้าหมุน" http://marsmoon.hi5.com

บทบรรณาธิการ


>>>on Lampang POST <<< ยินดีต้อนรับทุกท่าน สู่มหาสมุทรแห่งข้อมูลข่าวสารลำปางนับแต่นี้ไป


เรื่องใหญ่ และเรื่องสำคัญของสังคมไทย ที่ไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่กันเท่าใดนัก ก็คือระบบฐานข้อมูล การจัดทำระบบหอจดหมายเหตุ โดยเฉพาะลำปางเอง ข้อที่น่าตกใจคือว่า ลำปางเคยมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ ปีพ.ศ.2492 คือ ไทยลานนา และ เอกราช ในปีพ.ศ.2500

แต่ลำปาง ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จะเก็บสิ่งตีพิมพ์ดังกล่าว (ยังไม่ต้องนับถึงสื่อสิ่งพิมพ์ และข้อมูลอีกจำนวนมหาศาลที่ขาดการจัดเก็บเป็นข้อมูลให้คนรุ่นหลังค้นคว้า ศึกษา) เราจึงไม่สามารถหาต้นฉบับหนังสือพิมพ์ดังกล่าว เพื่อค้น "ประวัติศาสตร์" และ "เรื่องราวลำปาง" แม้ในระยะสั้นๆ เพียง 50 -60 ปี

เชื่อว่าอีกไม่นานเรื่อง "น้ำท่วมใหญ่ลำปาง 2548" ที่สร้างความพินาศเสียหายอย่างใหญ่หลวง ก็คงจะเป็นเพียงเรื่องเล่าจากความทรงจำจางๆ เช่นเดียวกับที่เหตุภัยพิบัติทั้งหลายที่เกิดกับลำปางแต่มิได้รับการบันทึก ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ตลาด น้ำท่วม คนประสบภาวะหิวโหย...ทั้งหลายทั้งปวงจะไม่สามารถสืบค้นทางประวัติเอกสารได้แน่ชัด...และถูกหลงลืมไปในที่สุด

หากไม่มองโลกในแง่ร้ายนัก ในโลกคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต อันเป็นโอกาสอันกว้างขวางที่สามารถย่นเวลา และระยะทางการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมหาศาล วันนี้ขณะที่ seacrh หาข้อมูลข่าวทำให้ได้พบกับเว็บไซต์หนึ่งนามว่า http://www.lampang2u.com/ เว็บนี้มีความพยายามอย่างยิ่งในการเก็บรวบรวมฐานข้อมูลร้านค้าลำปาง และข่าวท้องถิ่นลำปางได้อย่างน่าชื่นชม

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังมีไม่เพียงพอ ยังคับแคบเกินไป เมื่อเทียบกับความกว้างขวางในโลกไซเบอร์ พื้นที่ตรงนี้ จึงอาสาที่จะออกมาเพื่อรองรับกับ ข้อมูล ข่าวสาร และสถิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับลำปาง ในปัจจุบันสมัย เท่าที่จะมีกำลังจะทำได้ ขณะเดียวกันก็มองลู่ทางของเครือข่ายในมหาสมุทรแห่งข้อมูลของลำปางไปด้วย

ขณะที่ on Lampang : เปิดโลกลำปาง ก็ทำอีกหน้าที่หนึ่งในการรวบรวมฐานข้อมูล และข่าวสารทางศิลปวัฒนธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญหนึ่งของลำปาง ซึ่งคนละบทบาทกับที่แห่งนี้ จึงถือว่า บทนำนี้เป็นการเริ่มนับหนึ่ง ที่ออกก้าวเพื่อวันข้างหน้า ดังที่ เอนก นาวิกมูล นักเขียนสารคดีชื่อดัง เคยบอกไว้ว่า "เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า"

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ on Lampang POST
ศุกร์ 2
พฤษภา 51

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ลุงบุตร มิใช่คนสุดท้ายที่จากไปจากภัยแม่เมาะ




สำนักข่าวประชาธรรม: วาระสุดท้ายของลุงบุตร ชะตากรรมข้างขอบเหมือง
โดย ประชาไทออนไลน์
11 กรกฎาคม 2551
ที่มา
http://prachatai.com/05web/th/home/12814

เรื่อง: ธีรมล บัวงาม สำนักข่าวประชาธรรม
ภาพ: สิริลักษณ์ ศรีประสิทธิ์ โครงการสื่อสารแนวราบ


ชื่อของลุงบุตร หรือ ศรีบุตร วงศ์ชนะ ชายชราแห่งบ้านหัวฝาย หมู่ 1 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก

แต่หากเอ่ยถึงลุงบุตร
ในฐานะผู้หาญกล้ายื่นฟ้องต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในหลายๆ คดี
ผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองลิกไนต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ
ผู้เก็บสะสมยาพ่นขยายหลอดลม ที่ใช้จนหมดแล้วไว้ใต้เตียง
ผู้ขายบ้าน ขายรถ ประทังชีวิต และนำไปซื้อถังออกซิเจนสีเขียวใบใหญ่ อุปกรณ์ช่วยหายใจในยามที่อาการหอบกำเริบ สมบัติเพียงชิ้นเดียวที่มีค่ามากที่สุดในบ้าน
ฯลฯ
หรือกระทั่ง ผู้อดทนใช้ชีวิตจนช่วงสุดท้ายในวัย 81 ปี

ณ ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความตายจากถ่านหิน เป็นเรื่องจริง”

คำขยายความเหล่านี้ คงพอทำให้เห็นภาพลางๆ ได้บ้างว่าเส้นทางชีวิตส่วนหนึ่งที่ลุงศรีบุตรเลือกมันเริ่มต้นแล้วจบลงตรงที่ใด

ครั้งหนึ่งในปี 2547 ลุงบุตร บอกเล่าว่า ตนเองเป็นผู้ป่วยรายหนึ่งที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจวันละไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง หลังเริ่มมีอาการป่วยและเข้ารักษาในโรงพยาบาลมานานกว่า 10 ปี กระทั่งปี 2544 ลุงบุตรจึงตัดสินใจซื้อถังออกซิเจนพร้อมชุดช่วยหายใจมาใช้เป็นส่วนตัวที่บ้าน เพราะถังออกซิเจนเพียง 1 ถัง ที่ชาวชุมชนหัวฝาย ซื้อมาด้วยเงินที่ได้จากการจัดผ้าป่าสามัคคีนั้นต้องเวียนกันใช้ในชุมชน ซึ่งไม่เพียงพอกับอาการเจ็บป่วยที่ต้องพึ่งพาถังออกซิเจน และยาพ่นขยายหลอดลมเป็นนิจสิน

ครั้งนั้นแพทย์วินิจฉัยว่า เจ็บป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง แต่ลุงบุตรยืนยันว่าตนเลิกสูบบุหรี่มากว่า 20 ปี และเชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจึงมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อยู่ห่างไปไม่ถึงกิโล เฉกเช่นกับบรรดาสัตว์ พืชผล และผู้คนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ที่เริ่มเจ็บป่วยและถูกหามเข้าโรงพยาบาลกันบ่อยๆ

หลังจากนั้นไม่นาน เงินที่เก็บออมมาทั้งชีวิตก็เริ่มร่อยหรอ แม้ว่าจะมีค่ารักษาพยาบาลที่ได้จากสวัสดิการของลูกชายที่เป็นพนักงานอยู่ในการไฟฟ้า แต่ค่าใช้จ่ายอื่นเช่น ค่าเดินทางไปรักษาที่เชียงใหม่ ค่าอาหาร รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ไม่เพียงพอ จึงต้องทยอยขายทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่นา รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รวมทั้งเลิกกิจการขายของชำ ปั๊มน้ำมัน ขายบ้านไม้สักหลังงามเพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ

อย่างไรก็ตามแม้ตนเองจะเจ็บป่วยต้องพึ่งพาเครื่องหายใจอยู่เสมอ แต่ลุงบุตร ก็ไม่ได้ย่อท้อ ลุงบุตร ได้ยื่นฟ้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อศาลปกครอง โดยระบุว่า

กฟผ.ทำการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงหลัก ทั้งที่รู้ว่าถ่านหินลิกไนต์ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำ เมื่อเกิดการเผาไหม้จะทำให้เกิดฝุ่นแขวนลอยและสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์อันเป็นสารพิษจำนวนมาก ที่สำคัญ กฟผ.ยังไม่ดำเนินการควบคุมการฟุ้งกระจายของฝุ่นและสารดังกล่าวทั้งที่สามารถกระทำได้ ถือว่าขาดความระมัดระวังทำให้เกิดมลภาวะในอำเภอแม่เมาะ และอำเภอใกล้เคียง ทำให้ตนซึ่งอาศัยอยู่ที่ ต.บ้านดง หายใจเอาฝุ่นแขวนลอยและสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เข้าไปสะสมในร่างกายโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานานกว่า 20 ปี และเกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง

จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ กฟผ.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 102 ล้านบาท
....
จวบจนวันนี้คดีดังกล่าวก็ยังไม่สิ้นสุด

ป้านวลจันทร์ ภรรยาคู่ชีวิตของลุงบุตร เล่าว่า ลุงบุตรเฝ้ารอการอพยพหนีมลพิษ และความตายจากถ่านหินมาตลอดชีวิต และเชื่อว่าจะได้ย้ายบ้านไปอยู่ในพื้นที่รองรับภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่อพยพตามมติคณะรัฐมนตรี 9 พฤษภาคม 2547 ล่าช้าและมีปัญหาอุปสรรคมาโดยตลอด

อย่างไรก็ดีแม้การจากไปของของสามีอันเป็นที่รักจะทำใจให้ยอมรับได้ยากยิ่ง แต่ป้านวลจันทร์ กลับบอกว่า สิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยากกว่าคือการต้องไปร่วมงานศพของเพื่อนบ้าน หรือลูกหลานที่ทยอยตายตามกันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีวี่แววว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเข้ามาแก้ไข

แม้ว่าจากนี้ป้านวลจันทร์จะไม่ได้เห็นสามีกระแอมกระไอ กระเสือกกระสนตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อสูดหายใจจากสายยางพลาสติกสีขาวเขียวของเครื่องช่วยหายใจ บนเตียงนอนชั้นล่างอีกต่อไปแล้ว แต่ถังออกซิเจนคู่ชีวิตของลุงบุตรใบนี้ จะถูกส่งให้ใคร และต่อจากนั้นจะเป็นใครอีก นี่คือสิ่งที่ป้านวลจันทร์ไม่อยากจะเอ่ยถึง “หรือ

นี่มันคือชะตากรรมที่ชาวแม่เมาะรอบๆ โรงไฟฟ้าต้องก้มหน้ายอมรับ” ป้านวล ไถ่ถาม

ป้านวล ทิ้งท้ายว่า จากนี้ต่อไปเธอจะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่สามีทิ้งมรดกเอาไว้ให้ นั่นก็คือ คดีความที่ยังคั่งค้างอยู่ในศาลปกครอง แม้จะล่าช้า แต่เธอก็มีชีวิตเพื่อรอความยุติธรรมที่สักวันต้องมาถึง

“เส้นทางชีวิตของลุงบุตรนั้นไม่ได้แตกต่างจากกว่า 300 ชีวิตที่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร หลายๆ ราย บ้างก็เป็นลมล้มตาย บ้างนอนหลับตาย ตามเนื้อตามตัวมีจ้ำมีจุดเขียว หมอมาชันสูตรก็บอกว่าแก่ตายบ้าง เป็นโรคนั้นโรคนี้บ้าง แต่ชาวบ้านเรารู้ว่าคนแถบนี้ตายเพราะสาเหตุอะไร หลังจากลุงบุตรก็ต้องมีรายต่อๆ ไป” คำบอกเล่าของ มะลิวรรณ นาควิโรจน์ เลขาธิการเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ องค์กรที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของโรงไฟฟ้าและเหมืองถ่านหินแม่เมาะ รวมตัวจัดตั้งขึ้นมาในปี 2545

มะลิวรรณ เล่าว่า หนึ่งในสิ่งที่ลุงบุตรและชาวบ้านนับ 400 ชีวิต ร่วมกันเรียกร้องในนามเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ คือ ชาวบ้านควรจะได้รับความเป็นธรรมจากโครงการพัฒนาของรัฐที่กระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพราะจริงอยู่ที่โรงไฟฟ้าสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านรอบโรงไฟฟ้าต้องเสียสละแม้กระทั่งชีวิตของเขาเอง เพื่อให้ค่าไฟมีราคาถูก เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยฯไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินกว่าการมาตรฐานที่โครงการของรัฐพึงจะกระทำ เราเรียกร้องเฉพาะสิ่งที่เขาละเลยที่จะกระทำ

“เดิมเราเรียกร้องให้เขาอพยพชาวบ้านหนีมลพิษแต่เขาก็ไม่ยอม เราเรียกร้องให้มีแพทย์เฉพาะทางมาดูแล ไม่ใช่ไปโรงพยาบาลเอายาพารามากิน แล้วกลับมาตายที่บ้านอย่างที่เป็นอยู่ มันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอเขาไม่ทำสิ่งที่ควรต้องทำ เราก็ฟ้องศาลปกครองให้เขายุติการดำเนินการโรงไฟฟ้า ชาวบ้านก็ถูกหาว่าขัดขวางการพัฒนาของประเทศ ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคิดกันแบบนี้จะเรียกพวกเราว่าเป็นตัวขัดขวางก็ได้ เรายอมรับเพราะไฟฟ้าที่คุณกำลังใช้กันอยู่มันไม่ได้ผลิตจากถ่านหินสกปรกที่ไร้การจัดการที่ดีอย่างเดียว และมันรวมชีวิตมนุษย์ที่ต้องสังเวยเป็นเชื้อเพลิงด้วย

ทั้งหมดในงานเขียนชิ้นนี้ มันเริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่า การตายของลุงบุตร ชาวบ้านธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แม้จะไม่พิเศษ หรือช่วยสั่นสะเทือนให้สังคมหันมาสนใจชะตากรรมที่คนทั้งชุมชนแม่เมาะกำลังแบกรับ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่า ลุงบุตร และชาวบ้านอีกหลายร้อยคนไม่ได้จบชีวิตเพราะหัวใจหยุดเต้น ทว่ามันคือความพิกลพิการของระบบสังคมที่ทำให้มองไม่เห็นความทุกข์ยากที่เพื่อนร่วมประเทศกำลังแบบรับ บนคำนิยามของรัฐที่เรียกกันว่า “ผู้เสียสละจากการพัฒนา”

*** ข้อมูลการศึกษาวิจัยของ The Union of Concerned Scientist องค์กรวิทยาศาสตร์ที่ไม่แสวงผลกำไรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเพื่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และโลกที่ปลอดภัย พบว่าการใช้ถ่านหินในโรงไฟฟ้าได้นำไปสู่การเกิดควัน ฝนกรด สภาวะโลกร้อน และอากาศเป็นพา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วโรงไฟฟ้าถ่านหินหนึ่งโรงจะก่อให้เกิด
- คาร์บอนไดออกไซค์ (Co2) จำนวน 3,700,000 ตัน อันเป็นสาเหตุเบื้องต้นของสภาวะโลกร้อน จำนวนคาร์บอนไดออกไซค์ที่ถูกปล่อยออกมานี้ เท่ากับการตัดต้อนไม้ถึง 161 ล้านตัน
- ซัลเฟอร์ไดออกไซค์ (So2) จำนวน 10,000 ตัน ทำให้เกิดสภาวะฝนกรด ซึ่งจะทำลายป่าไม้ ทะเลสาบ บ้านเรือนและอาคารต่างๆ อีกทั้งยังทำให้เกิดฝุ่นผงรูปแบบต่างๆ ที่สามารถทะลุผ่านเข้าไปสู่ปอดของคนเราได้
- ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายทางอากาศจำนวน 500 ตัน ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ โรคหืดที่เลวร้ายขึ้น และความตายก่อนเวลา รวมถึงหมอกที่ปกคลุมทัศนวิสัย- ไนโตรเจนออกไซค์ (Nox) จำนวน 10,200 ตัน ซึ่งจะเท่ากับจำนวนฝั่นจากรถยนต์รุ่นเก่าถึงครึ่งล้านคัน ไนโตรเจนออกไวค์จะนำไปสู่โอโซนที่สามารถเผาเนื้อเยื่อของปอด และนำไปสู่ความบกพร่องของระบบทางเดินหายใจ
- คาร์บอนมอนมอกไซค์ (Co) ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหัว และความตึงเครียดที่มากยิ่งขึ้นในผู้ป่วยโรคหัวใจ- ไฮโดรคาร์บอน จำนวน 220 ตัน และทำให้เกิดค่าความเข้มข้นสารระเหยอินทรีย์- สารปรอทจำนวน 170 ปอนด์ ซึ่งปรอทเพียง 1/70 ช้อนชา ที่สพะสมในทะเลสาบขนาด 25 เอเคอร์ สามารถทำให้ปลาในทะเลสาบดังกล่าวไม่มีความปลอดภัยที่จะนำมาบริโภค
- สารหนู (สารก่อมะเร็ง) จำนวน 225 ปอนด์ ประชากร 1 คนในทุกๆ 100 คน ที่ได้ดื่มน้ำซึ่งปนเปื้อนสารหนูเพียง 50/1,000 พันล้านส่วนจะมีโอกาสเป็นมะเร็ง
- สารตะกั่ว จำนวน 114 ปอนด์
- แคดเมี่ยม จำนวน 4 ปอนด์ และสารโลหะหนักเป็นพิษอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังตรวจพบสารยูเรเนียมอีกจำนวนหนึ่งด้วย
*** อ้างจาก ถ่านหิน : พลังงานสะอาด (คำถามและบทเรียนจากกรณีแม่เมาะ)
...
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

เสาร์ 12
กรกฎา 51

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ภาพอัพเดต หลักกิโลเมตรแยกห้าเชียง

อย่างที่เราได้ชวนคุยกันมาใน หัวข้อที่ว่า "หลักกิโลเมตรแยกห้าเชียง ราคาที่ 2.8 ล้านบาท "
ใน http://onlampangpostxyz.blogspot.com/2008/06/28.html

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีโอกาสผ่านไปบริเวณนั้นอีกครั้ง
เลยถือโอกาสเก็บภาพมาฝากกัน

ถ่ายเมื่อ วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2551

อ่านจากป้ายได้ว่า
สี่แยกอินโดจีน 252
กรุงเทพ 597
ย่างกุ้ง 706
ดานัง 1861
นราธิวาส 1748
สิงคโปร์ 2548


หมายความว่าอย่างไร พื้นที่สี่แยกนี้เดิมเคยใช้ชื่อว่า แยกเมโทรแต่พอมีการตัดถนนใหม่จากสามแยก กลายเป็นสี่แยก ด้วยจินตนาการร่วมกันของส่วนราชการและเอกชนลำปาง เห็นพ้องกันว่า ลำปางถือว่าเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือในทางภูมิศาสตร์และเป็นประตูแห่งล้านนา

เคยมีความพยายามที่จะสร้างอะไรที่เป็นตัวแทนของความเป็น ประตูสู่ภาคเหนือในหลายกรณีถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่การช่วงชิงความหมายของแยกนี้ ด้วยการใช้ชื่อสี่แยกในทำนองว่า ประตูแห่งล้านนาหรืออะไรทำนองนี้ แต่มีความไม่ลงตัว และมาหยุดอยู่ที่ชื่อว่า "แยกภาคเหนือ" ที่ดูเป็นคำเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา และไม่ "แรง"พอ

ล่าสุด ผู้ว่าฯคนใหม่กระตือรือร้นที่จะเป็น "ผู้กระทำ" อะไรหลายๆอย่างในลำปาง"หลักกิโล" อันนี้ก็กลายเป็น ประดิษฐกรรมใหม่ของลำปางขึ้นมา โดยปราศจากการรับรู้ต่อสาธารณะในวงกว้าง หลักกิโลนี้จึงอาจเป็นเสมือนตัวแทน การนิยามตัวตนของลำปางในฐานะความที่(อยาก)เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือในบริบทปัจจุบัน

หลักกิโลนี้จะอยู่ไปอย่างคงทนนับร้อยปี ท่ามกลางการต่อสู้ช่วงชิงความหมาย เนื่องมาจากการโหยหาตัวตน ความมี ความเป็น "ลำปาง"

อีกนับร้อยๆปี
.........
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

ศุกร์ 11
กรกฎา 51

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ศาลยกฟ้องกรณีปิดโรงฆ่าสัตว์โดยมิชอบ คาดว่าจะได้สวนสาธารณะเพิ่มอีกแห่ง

ศาลยกฟ้องนิมิตร กรณีปิดโรงฆ่าสัตว์กระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
โดย ลานนาโพสต์ออนไลน์
ที่มา :
http://www.lampangpost.com/news/674-2.htm

คดีนิมิตรปิดโรงฆ่าสัตว์ทำสวนฯ ศาลยกฟ้อง

จากกรณีที่นายสุรจิต สามสี และพวกจำนวนสิบคนเป็นโจทย์ซึ่งเป็นผู้ดำเนินอาชีพค้าขายเนื้อสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลนครลำปาง ยื่นฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ มีเทศบาลนครลำปาง และนายนิมิตร จิวะสันติการ เป็นจำเลย ที่ทำให้ผู้ฟ้องได้รับความเสียหายไม่มีสถานที่ฆ่าสุกรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ เพื่อนำไปจำหน่ายแก่ประชาชน เพราะนายนิมิตร จิวะสันติการ นายกเทศมนตรีนครลำปางมีคำสั่งลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2549 ให้หยุดดำเนินการโรงฆ่าสัตว์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 และศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำสั่ง ลงวันที่ 13 มีนาคม 2550 กำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองดำเนินกิจการโรงฆ่าสัตว์พิพาทและจัดให้มีการควบคุมการฆ่าสัตว์ในเขตเทศบาลนครลำปางต่อไป จากนั้นนายนิมิตรได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 11 เมษายน 2550 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ยกคำขอที่ผู้ฟ้องทั้ง 14 คนขอให้ศาลปกครองชั้นต้นทุเลาการบังคับคำสั่งของนายนิมิตร จิวะสันติการ

หลังจากนั้นศาลปกครองเชียงใหม่ได้พิจารณาและพิพากษายกฟ้องเทศบาลนครลำปาง และนายนิมิตร จิวะสันติการ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 และผู้ถูกฟ้องที่ 2 โดยสรุปว่า นายนิมิตร จิวะสันติการ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ใช้ดุลพินิจออกประกาศหยุดดำเนินกิจการโรงฆ่าสัตว์และงดออกใบอนุญาตฆ่าสัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยเหตุผลและเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ไม่กระทบต่อเสรีภาพในการดำเนินอาชีพโดยสุจริตของผู้ฟ้องทั้ง 14 คน หรือเป็นการใช้มาตรการที่ไม่ได้สัดส่วนหรือเกินความจำเป็น อันจะทำให้ผู้ฟ้องทั้ง 14 คนได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 14 กล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ออกประกาศลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2549 เรื่องหยุดดำเนินกิจการโรงฆ่าสัตว์และงดออกใบอนุญาตฆ่าสัตว์ทุกชนิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไปจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ นายนิมิตร จิวะสันติการ ได้ให้การต่อศาลว่า เดิมที่ตั้งโรงฆ่าสัตว์ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งชุมชนจึงไม่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ปัจจุบันมีการขยายตัวของชุมชนเมือง ทำให้สถานที่ตั้งโรงฆ่าสัตว์อยู่ติดกับชุมชน ประกอบกับการดำเนินกิจการโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลนครลำปางไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาหลายปี จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง โดยไม่อาจปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดได้

จึงจะเป็นต้องหยุดกิจการโรงฆ่าสัตว์เพื่อนำที่ดินดังกล่าวไปสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและเป็นสถานที่ออกกำลังกายของประชาชนกว่า 1,000 คน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่มากกว่าเมื่อเทียบกับความเดือดร้อนของผู้ฟ้องเพียง 14 คน การปิดโรงฆ่าสัตว์ไม่ได้เป็นการทอดทิ้งผู้ฟ้องทั้ง 14 คน เพราะก่อนที่จะประกาศหยุดกิจการ 8 เดือน ได้มีการจัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจและหามาตรการแก้ไขร่วมกันแล้ว ตลอดจนได้ประสานกับโรงฆ่าสัตว์เอกชนจำนวน 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตท้องที่เทศบาลฯไม่เกิน 15 กิโลเมตร และขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นและเหมาะสมที่จะสร้างโรงฆ่าสัตว์แห่งใหม่ เพราะเทศบาลมีเนื้อที่เพียง 22.17 ตารางกิโลเมตร มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น การสร้างโรงฆ่าสัตว์แห่งใหม่ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 20 ล้านบ้าน อีกทั้งยังเป็นการซ้ำซ้อนกับโรงฆ่าสัตว์ในเขตเทศบาลเมืองเขลางค์นครที่มีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งโรงฆ่าสัตว์ทุกแห่งผู้ฟ้องทั้ง 14 คนสามารถไปใช้บริการได้สะดวกสบายทั้งสิ้น
.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

โลตัสโชว์จ่ายภาษีสนับสนุนท้องถิ่น

โลตัสแจงจ่ายภาษี
โดย ลานนาโพสต์ออนไลน์
ที่มา :
http://www.lampangpost.com/news/674-2.htm

เทสโก้ โลตัสมอบสิ่งดี ๆ เพื่อชาวลำปาง
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม เวลา14.40 น. นางปัณฑิพาณ์ ธาราภิบาล ผจก.สื่อมวลชนสัมพันธ์เทสโก้ โลตัส เข้าเยี่ยมและขอบคุณกองบรรณาธิการนสพ.ลานนาโพสต์ ที่ได้เสนอข่าวกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของห้างเทสโก้ โลตัส พร้อมกับชี้แจงถึงข่าวที่คลาดเคลื่อนกรณีที่จะมีการเปิด โลตัส เอกสเพรสในเขตเทศบาลต่างๆ ในจังหวัดลำปางตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ผจก.สื่อมวลชนสัมพันธ์กล่าวว่า”ตลอดระยะเวลา 13 ปี เทสโก้ โลตัสมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสินค้าคุณภาพ ที่มีความหลากหลายในราคาประหยัดและยุติธรรมให้กับผู้บริโภคที่มาใช้บริการในสาขาต่าง ๆ ของเรา เพื่อเป็นการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้กับผู้บริโภคได้โดยตรง ด้วยเรายึดมั่นในการเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชนและพร้อมให้การสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนต่าง ๆ ทั้งในด้านสังคม ศาสนา การศึกษาและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ เทสโก้ โลตัส ได้ร่วมส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ ในท้องถิ่น รวมถึงร้านค้าปลีกรายย่อยและกลุ่มอาชีพในท้องถิ่นนั้น ๆ อันจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่นให้มีการเติบโต เพื่อสร้างการอยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบสมานฉันท์

พร้อมกันนี้ เทสโก้ โลตัส ยังมีความตั้งใจในการมีส่วนร่วมส่งเสริมและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชน ซึ่งปรากฏได้จากการที่ เทสโก้ โลตัสจ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยคืนให้กับท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เราตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ภาษีเงินได้ และภาษีธุรกิจอื่น ๆ เช่น การจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบ e-revenue ของกรมสรรพากร โดยชำระเป็นรายสาขาจากส่วนกลางเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งทำให้รัฐบาลได้รับเงินภาษีจากบริษัทอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อกรมสรรพากรได้รับเงินภาษีจากบริษัท ๆ แล้วก็จะจัดสรรให้กับท้องถิ่นต่าง ๆ โดยจัดส่งส่วนแบ่งให้กับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่นต่าง ๆ ตามสัดส่วนเป็นประจำทุกเดือน โดยจ่ายเป็นเช็คธนาคาร

นางปัณฑพาณ์ ธาราภิบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับในเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง เทสโก้ โลตัส เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2550 จำนวน 1 สาขา คือ เทสโก้ โลตัสในรูปแบบร้านคุ้มค่า หรือคอมแพคท์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้งนี้ ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2550 เทสโก้ โลตัสได้จ่ายภาษีให้กับหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นที่จังหวัดลำปางไปแล้วรวมทั้งสิ้น 3.8 ล้านบาท เนื่องจากได้จดทะเบียนสาขา ในจังหวัดลำปางกับสรรพากรจังหวัด เพื่อนำภาษีจำนวน 14 % ของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อสินค้าภายในร้านมาให้กับองค์กรในจังหวัด จำนวน 2.98 ล้านบาท บวกกับภาษีโรงเรือนและภาษีป้ายอีก 862,000 บาท ดังนั้นภาษีทุกบาททุกสตางค์ที่ค้นกลับสู่ชุมชน สามารถนำกลับไปพัฒนาชุมชนในจังหวัดลำปางให้มีความเจริญถาวรอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ด้าน”

“นอกจากการเสียภาษีให้กับท้องถิ่นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเป็นการสร้างรายได้โดยตรงให้กับท้องถิ่นแล้ว เทสโก้ โลตัส ยังมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ้างงานในท้องถิ่น ถือเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น โดยในการเปิดสาขาแต่ละครั้ง จะมีการจ้างงานโดยใช้คนในพื้นที่เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ ร้อยละ 90 ของพนักงานในร้านคุ้มค่า สาขาลำปาง จะเป็นคนในท้องถิ่นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังมีนโยบายสนับสนุนให้พนักงานที่ทำงานอยู่แล้วกับเทสโก้ โลตัส มีโอกาสย้ายกลับไปทำงานในภูมิลำเนาเดิม เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากยิ่งขึ้น” ผจก.สื่อมวลชนสัมพันธ์กล่าวทิ้งท้าย

อนึ่งมูลนิธิเทสโก้เพื่อไทย จะมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนในเขตเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว ที่เรียนดี ความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 50 ทุนๆละ 1,000 บาท มูลค่า 50,000 บาท ณ เทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว ลำปาง ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ มีนายเพ็ญพิมล อมาตยกุล ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายกิจการบรรษัทและกฎหมาย และนายสมพร วะเท นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว เป็นผู้มอบทุน และวันเดียวกัน เทสโก้โลตัสได้เดินทางไปมอบกองทุนเพื่อการศึกษาจำนวน 50,000 บาท และอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอน 20,000 บาท ให้แก่เทศบาลตำบลแม่โจ้ เชียงใหม่ อีกด้วย.
.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

จัดระเบียบหอพักลำปาง เจ้าของหอพักตื่นตัว

การจัดระเบียบหอพักในจังหวัดลำปาง
9 กรกฎาคม 2551 / 15:35:35
ที่มา : http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080709153535

การจัดระเบียบหอพักในจังหวัดลำปาง หลังจากประกาศเป็นวาระจังหวัดและมีการตรวจสอบ พบมีหอพักมาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และได้รับความไว้วางใจมากขึ้น

นางกรพินธุ์ วงศ์เจริญ รักษาการแทนพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลำปาง กล่าวว่า จังหวัดลำปาง ได้ประกาศเป็นวาระจังหวัด ในการจัดระเบียบสังคม เน้นย้ำเรื่องยาเสพติด หอพัก แก็งมั่วสุม รวมถึงการบุกรุกทำลายป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเฝ้าระวังปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ในส่วนของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับจัดระเบียบหอพัก บ้านเช่า ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะดำเนิน มีหอพักมาจดทะเบียน 312 แห่ง หลังจากได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหอพักต่าง ๆพร้อมให้คำแนะนำ ตักเตือนแก่ผู้ประกอบการให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว ปรากฎว่า ขณะนี้มีหอพัก บ้านเช่า มาจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 400 แห่ง และกำลังจากขอจดเพิ่มอีก 30 แห่ง

นางกรพินธุ์ กล่าวอีกว่า ในการออกตรวจหอพัก แต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นไปตามที่มีผู้ร้องเรียน หรือตามตารางงานที่ออกตรวจ จะมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่ ส่วนใหญ่เน้นตรวจหอพักนักเรียนที่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี บ้านเช่าที่มีเด็กพักเกิน 5 คน และหอพักที่มีชายหญิงพักรวมกัน โดยได้ตักเตือนในเรื่องสุขอนามัยที่พัก ให้แยกหอพักเฉพาะชายและหญิง โดยเขียนป้ายแสดงด้วย รวมถึงการดูแลเด็กและเยาวชนที่พักอาศัยไม่ให้มั่วสุม หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จากการสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน หอพักต่าง ๆ ได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ช่วยดูแลสอดส่องเด็กและเยาวชน รวมถึงแจ้งเบาะแสการกระทำผิดต่าง ๆผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

สวท.มาแนวใหม่สำรวจผลข่าวท้องถิ่น ให้ลุ้นทีวี 21 นิ้ว

สวท.ลำปาง สำรวจผลการรับฟังข่าวท้องถิ่น พร้อมลุ้นรางวัลโทรทัศน์สี 21 นิ้ว
10 กรกฎาคม 2551 / 15:23:50
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080710152350

สวท.ลำปาง จะสำรวจผลการรับฟังรายการของทางสถานีฯ โดยเฉพาะข่าวท้องถิ่น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพัฒนาการผลิตข่าวท้องถิ่นให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยจดหมายหรือไปรษณียบัตรของผู้ฟังมีสิทธิลุ้นรางวัลโทรทัศน์สี 21 นิ้ว ภายในวันที่ 15 กันยายน 2551

นายสมบูรณ์ วงศ์โสม ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ลำปาง เปิดเผยว่า สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำปางได้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) เพื่อปรับปรุงการทำงานและยกระดับการบริหารจัดการองค์กร จึงจะดำเนินการสำรวจผลการรับฟังรายการของทางสถานี ทางระบบ FM 97 MHz. ทั้งด้านความชัดเจนของสัญญาณ รายการที่ชื่นชอบ
โดยเฉพาะข่าวท้องถิ่นซึ่งออกอากาศ ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 06.30 - 07.00 น.
รายการข่าวยามแลง ทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 18.00 –19.00 น.
และสรุปข่าวท้องถิ่นประจำสัปดาห์ ทุกวันเสาร์ เวลา 09.10 - 09.30 น.

พร้อมระบุเหตุผลประกอบ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาการผลิตรายการและข่าวท้องถิ่นให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

ทั้งนี้ขอเชิญชวนผู้ฟังส่งจดหมายหรือไปรษณียบัตรร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ผลการรับฟังรายการของทางสถานี รายการที่ชื่นชอบ อยากให้นำเสนอข่าวประเภทไหนและ รูปแบบรายการข่าวเป็นอย่างไร
ส่งมาที่
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำปาง 420 ถนนพหลโยธิน ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง รหัสไปรษณีย์ 52000 พร้อมลุ้นรับของรางวัลโทรทัศน์สี 21 นิ้ว ภายในวันที่ 15 กันยายน 2551.

ข่าวโดย : จันทร์สวย บุญนำมา
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

ธรรมศาสตร์ลำปางเปิดนิติศาสตร์ ป.ตรีแล้ว!!!

"ธรรมศาสตร์"เปิดสอนนิติศาสตร์ภาคปกติในภูมิภาค
8 กรกฎาคม 2551 / 16:43:54
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080708164354

"ธรรมศาสตร์"เปิดสอนนิติศาสตร์ภาคปกติในภูมิภาค รุ่นแรก ปีการศึกษา 2552 โดยรับนักเรียนจบ ม.6 ภาคเหนือ 17 จังหวัด 150 คน และเปิดรับทั่วไปอีก 50 คน เริ่มสมัคร ก.ย.51 นี้

ศาสตราจารย์ดอกเตอร์สมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 2552 นี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเปิดสอนหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต เป็นรุ่นแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โดยจะเปิดรับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายสามัญ และมีคะแนนเฉลี่ยสะสมในชั้น ม.4 – ม.5 รวม 4 ภาคการศึกษาไม่ต่ำกว่า 2.75

ศ.ดร.สมคิดฯ กล่าวว่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการเปิดสอนหลักสูตรนิติศาสตร์ภาคบัณฑิต ที่ มธ.ศูนย์ลำปางมาแล้ว 5 รุ่น ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาในด้านกฎหมายออกสู่ภูมิภาคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำทางนิติศาสตร์และเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคเอเชียและในระดับนานาชาติ และยังเป็นสถานศึกษาทางกฎหมายที่มีบทบาทในการชี้นำและแก้ปัญหาสังคมของประเทศเสมอมา

ดังนั้น เพื่อเป็นการตระหนักถึงภารกิจต่อสังคมส่วนรวมในการสร้างนักกฎหมายที่มีความรู้จริยธรรมและมีจิตวิญญาณของความเป็นนักกฎหมายอย่างแท้จริงให้กระจายไปสู่ภูมิภาค จึงได้เปิดหลักสูตรนิติศาสตร์ดังกล่าวนี้ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษา ในเขต 17 จังหวัดภาคเหนือและทั่วประเทศ ขึ้น ในปีการศึกษา 2552 โดยจะรับนักเรียนที่กำลังศึกษาในระดับชั้น ม.6 จากภาคเหนือ 17 จังหวัด จำนวน 150 คน และจากทั่วประเทศ อีก 50 คน รวม 200 คน ผ่านระบบการสอบคัดเลือกตรงของมหาวิทยาลัยและระบบ Admission ซึ่งจะเปิดรับสมัครในช่วงเดือนกันยายน 2551 และสอบในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551

ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง โทร.08-1438-7096,0-5426-8705 หรือ www.law.tu.ac.th ในวันและเวลาราชการ”คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.กล่าว

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

บทความเรื่อง "ลำปางคูณ" บทพิสูจน์เซรามิกลำปาง


ตัวอย่างผลงานบริษัท ลำปางคูน เซรามิค จำกัด
ที่มา :
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9510000078414


เรวัตร ไชยยารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลำปางคูน เซรามิค จำกัด
ที่มา :
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9510000078414

‘ลำปางคูน’ ฉีกกรอบเซรามิค สู่ความสำเร็จจากความต่าง
โดย ผู้จัดการออนไลน์

7 กรกฎาคม 2551 09:12 น.
ที่มา :
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9510000078414

เซรามิค แบรนด์ “ลำปางคูน” (LAMPANGKOON) จาก จ.ลำปาง โดดเด่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ นำธรรมชาติรอบตัวมาเป็นแรงบันดาลใจ ประกอบกับฝีมือการปั้นแฮนด์เมด ผลงานออกมาจึงมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ช่วยเสริมศักยภาพขายได้ราคาสูง สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางปัจจัยลบสารพัดในปัจจุบัน

เจ้าของผลงานดังกล่าว คือ “เรวัตร ไชยยารักษ์” ซึ่งจบการศึกษามาทางออกแบบผลิตภัณฑ์โดยตรง จากนั้นสะสมประสบการณ์ในตำแหน่งนักออกแบบผลิตภัณฑ์เซรามิคให้แก่หลายบริษัท ใน จ.ลำปาง นานกว่า 10 ปี จนเรียนรู้ทุกกระบวนการเกี่ยวกับธุรกิจนี้ครบถ้วน ตัดสินใจออกมาตั้งบริษัท ลำปางคูน เซรามิค จำกัด ของตัวเอง เมื่อปี 2530 ด้วยเงินทุน ประมาณ 4 แสนบาท

“ตอนนั้น เซรามิคใน จ.ลำปาง ยังมีรูปแบบไม่หลากหลายนัก เมื่อเปิดบริษัทเอง ผมเลือกจะวางรูปแบบให้เป็นเซรามิคที่ไม่จำเจในตลาด วัตถุดิบและสีที่ใช้เป็นแนวธรรมชาติ และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ดีไซน์ที่ออกมาดูแล้วแปลกตา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ ทั้งหมดเป็นงานแฮนด์เมด เพื่อเป็นช่องทางหาลูกค้าเฉพาะกลุ่ม” เรวัตร ระบุ

สำหรับแรงบันดาลใจในการออกแบบแต่ละชิ้นนั้น เจ้าของผลงานบอกว่า จะมองหาจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวัน แล้วนำมาผ่านกระบวนการความคิด เพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าให้ผลงานที่จะสร้างสรรค์ขึ้น ได้รับความนิยมในอนาคต

“การออกแบบของผมจะไม่ตามเทรนด์นิยมในปัจจุบัน แต่ผมอยากจะเป็นผู้นำเสนอเทรนด์ใหม่ โดยคิดดักล่วงหน้าไว้ว่า แบบนี้น่าจะได้รับความนิยมในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา เพื่อคาดเดาเทรนด์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ประกอบกับใช้คำแนะนำจากลูกค้ามาพิจารณาร่วมด้วย” เจ้าของธุรกิจ อธิบาย

เนื่องจากมีพื้นฐานในธุรกิจครบถ้วน อีกทั้ง สินค้าโดดเด่นอย่างมาก เคยคว้ารางวัลการประกวดเซรามิคระดับประเทศมากมาย เช่น รางวัลผลงานดีเด่น งานแสดงศิลปะเครื่องปั้นดินเผาแห่งชาติ ครั้งที่ 6 , 7 และ 9 รางวัลหัตถกรรมยอดเยี่ยมภาคเหนือ ประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น ช่วยให้เซรามิคแบรนด์ “ลำปางคูน” เป็นที่รู้จัก และได้รับการตอบรับมายาวนานมาถึงปัจจุบัน

สำหรับกลุ่มลูกค้ามีทั้งตลาดในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ สินค้าส่วนใหญ่เน้นเป็นงานชิ้นใหญ่ เพื่อการตกแต่งสถานที่ ลูกค้าหลัก ได้แก่ โรงแรม ระดับ 5 ดาว และบูติกรีสอร์ทต่างๆ รวมถึง ร้านอาหารไทยในต่างแดน

แม้ว่าจะเป็นนักออกแบบเซรามิคระดับแนวหน้าของ จ.ลำปาง ทว่า ในมุมมองของเรวัตร กลับไม่ยึดติดว่า งานดีไซน์ต้องแปลกแหวกแนวเท่านั้น เพราะในโลกความเป็นจริงทางธุรกิจ นักออกแบบไม่ควรยึดติดกับทัศนคติของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ควรทำงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานเพื่อตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือเพื่อตอบสนองตลาดวงกว้าง เพียงแต่ว่า สินค้าทุกชิ้นควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้ซื้อจดจำได้

“สินค้าอันดับหนึ่งของผม ยังเป็นประเภทของตกแต่งที่มีดีไซน์แตกต่างมากๆ อย่างเช่นงานโอ่ง แจกัน และของตกแต่งต่างๆ ซึ่งราคาค่อนข้างสูง คนที่จะซื้อสินค้าประเภทนี้ จะเป็นกลุ่มที่รักในงานดีไซน์จริงๆ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเจ้าของกิจการ ส่วนเซรามิคประเภททั่วไปใช้ในครัวเรือน ผมก็ผลิตเช่นกัน ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ ราคาแค่สิบบาท แต่ถึงจะเป็นสินค้าเครื่องใช้ทั่วไป ก็ควรมีเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยประยุกต์ให้ใช้งานได้เหมาะสม” เรวัตร กล่าว

จากแนวคิดนี้ ทำให้สินค้าของ “ลำปางคูน” มีรวมกันนับพันแบบ การออกแบบโดยหลักยังเป็นหน้าที่ของเรวัตร โดยปัจจุบัน มีคนรุ่นใหม่เข้ามาฝึกฝนเป็นลูกมือพร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นนักออกแบบระดับแนวหน้าในอนาคต ด้านราคาขาย เริ่มต้นตั้งแต่หลักสิบถึงหลักหมื่น วัตถุดิบหลักใช้ดินลำปาง มีศักยภาพการผลิต ประมาณ 2,000 ชิ้นต่อเดือน ช่องทางจำหน่ายภายในประเทศ ผ่านร้านตัวแทนในตลาดนัดสวนจตุจักร และ ถ. สุขุมวิท ส่วนส่งออกจะผ่านบริษัทตัวแทน ตลาดหลัก คือ ยุโรป รายได้ของบริษัทประมาณหลักแสนต่อเดือน

เนื่องจากสินค้าเซรามิค ต้นทุนสำคัญ คือ ค่าพลังงานในการเผา ซึ่งในยุคนี้ รู้กันดีว่า ค่าพลังงานต่างๆ พุ่งทะยานไม่หยุด กระทบให้ต้นทุนการผลิต สูงขึ้นกว่าเดิม 20-30% ทีเดียว อีกทั้ง ต้องยอมรับว่า สินค้าประเภทนี้จัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเช่นกัน เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ลูกค้าจึงชะลอการซื้อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เพราะสินค้าเน้นลูกค้าตลาดบน ราคาขายสูงกว่าสินค้าทั่วไปในท้องตลาด ทำให้กำไรต่อหน่วยยังสามารถประคับประคองธุรกิจให้เดินไปได้ ต่างจากผู้ผลิตเซรามิคหลายรายใน จ.ลำปาง ที่กำลังลำบากอย่างหนัก เพราะเน้นทำสินค้าราคาถูก เมื่อเจอวิกฤตค่าพลังงานแพง ประกอบกับเจอคู่แข่งอย่างจีนแย่งตลาด ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้วจะไปต่อไม่ไหว

เพื่อจะแก้ปัญหาดังกล่าว เรวัตร เผยว่า ผู้ประกอบการเซรามิคใน จ.ลำปาง ประมาณ 20 ราย ได้รวมกลุ่มตั้งคลัสเตอร์ ในชื่อ “เซรา คลัสเตอร์” เพื่อช่วยเหลือ และเสริมสร้างความเข้มแข็งระหว่างกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น จัดอบรมความรู้ในการพัฒนาสินค้า ร่วมกันไปออกโรด โชว์แสดงสินค้า เพื่อขยายตลาด เป็นต้น ที่ผ่านมาช่วยให้สมาชิกลุ่มมีตลาดเพิ่มขึ้น ตลอดจนพาความช่วยเหลือจากภาครัฐเข้าถึงมากขึ้นด้วย

เรวัตร กล่าวตอนท้ายว่า สิ่งสำคัญที่ยึดมั่นตลอดในการสร้างสรรค์ผลงาน คือ ไม่หยุดพัฒนา ทั้งในแง่ของฝีมือการออกแบบ แต่รวมไปถึงมุ่งพัฒนาสินค้าให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยพยายามศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ มาต่อยอดกับพื้นฐานความรู้เดิม เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นไป ซึ่งแนวคิดนี้เชื่อว่า จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน
.......
เอื้อเฟื้อแจ้งข่าวโดย
คุณทัศนีย์ ขัดสืบ
.......
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

พฤหัส 10
กรกฎา 51

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชาวบ้านแจ้ห่ม ร่วมอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำ


ภาพจาก http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080705124828

ชาวบ้านในตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ร่วมกันอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำลำธาร
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา : http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080705124828
5 กรกฎาคม 2551 / 12:48:28

ชาวบ้านแป้นโป่งชัย หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านสา นับ 100 คนต่างช่วยกันนำท่อมาต่อน้ำในลำห้วยเหมี้ยง บนผืนป่าเหนือหมู่บ้าน เพื่อนำน้ำไปใช้ในการอุปโภคและบริโภคในหมู่บ้านเป็นระยะทางยาวประมาณ 3 กิโลเมตร หลังจากเมื่อต้นปีชาวได้ร่วมกันสร้างฝายชะลอน้ำในลำห้วยเหมี้ยงและลำห้วยสาขาทำให้ผืนป่าร่วมกว่า 1,000 ฝาย ทำให้ป่ามีความชุ่มชื้นขึ้นตลอดจนทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นน้ำในลำห้วยมีไหลไม่ขาดสาย

นายวินัย สายแปง ผู้ใหญ่บ้านเปิดเผยว่าเมี่อก่อนผืนป่าของหมู่บ้านแห่งนี้เป็นป่าที่อุดมสมบรูณ์ และต่อมาได้มีการบุกรุกทำลาย จนมาเมื่อต้นปี 2549 ทางอำเภอแจ้ห่มตลอดจนองค์การปกครองท้องถิ่นได้เข้ามาสร้างกระแสและปลุกจิตสำนึกให้กับชาวบ้านในหลายหมู่บ้านที่อาศัยรอบผืนป่าแห่งนี้ได้มีการอนุรักษ์และหวงแหนผืนป่า โดยการร่วมกันอุรักษ์ทั้งป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ป้องกันไฟป่าและช่วยกันทำฝายชะลอน้ำขึ้นมาตามลำห้วยต่างๆ ทำให้สิ่งแวดล้อมตลอดจนน้ำในลำห้วยที่เคยแห้งขอดกับมามีน้ำไหลเหมือนเดิม

โดยบ้านแป้นโป่งชัยที่ผ่านมาประชาชนขาดน้ำในการอุปโภคบริโภคในหน้าแล้งโดยเฉพาะขาดน้ำที่จะมาทำการเกษตรเป็นอย่างมาก จึงทำให้ชาวบ้านต่างรู้คุณค่าของป่ามากขึ้น ได้ช่วยกันนำท่อน้ำมาต่อจากแหล่งต้นน้ำบนภูเขาเพื่อนำน้ำไปใช้ในการอุปโภคและบริโภคดังกล่าว ชึ่งผู้ใหญ่บ้านกล่าวเพิ่มเติมว่าน้ำที่ทางการได้เข้ามาสร้างประปาให้กับชาวบ้านที่ผ่านมาได้มีการตรวจสอบพบว่ามีสารฟูรออไรด์สูงโดยจากการที่มีการตรวจน้ำที่เด็กนักเรียนพบว่ามีค่าสารดังกล่าวสูงร่วม 20 คนชึ่งการนำเอาท่อมาต่อน้ำบนภูเขาลงมาใช้ในครั้งนี้จะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการทำประปาให้ชาวบ้านอีกด้วย

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

สาธารณสุขลำปางจัดประกวดร้านอาหารสะอาด รสชาติอร่อย

สสจ.ลำปาง จัดประกวดสถานที่จำหน่ายอาหารตามมาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080704103807
4 กรกฎาคม 2551 / 10:38:07

นายแพทย์ศิริชัย ภัทรนุธาพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง แจ้งว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง จัดประกวดร้านอาหารและแผงลอยจำหน่ายอาหารจังหวัดลำปาง ปี 2551 เพื่อส่งเสริมให้สถานที่จำหน่ายอาหารในจังหวัดลำปางมีการยกระดับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินการประกวดและอยู่ระหว่างการคัดเลือกร้านอาหาร และแผงลอยจำหน่ายอาหารดีเด่นจังหวัดลำปาง ประจำปี 2551 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้

และเปิดเผยว่าจังหวัดลำปางมีสถานที่จำหน่ายอาหารทั้งหมด 1,038 แห่ง โดยเป็นร้านอาหารจำนวน 710 ร้าน มีแผงลอยจำหน่ายอาหารจำนวน 328 แผง ภาพรวมของจังหวัดลำปาง พบว่า มีสถานที่จำหน่ายอาหารได้มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย(Clean Food Good Taste) มีจำนวน 940 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 90.56 เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้

ซึ่งประชาชนสามารถสังเกตมาตรฐานดังกล่าวได้จากป้ายสัญลักษณ์อาหารสะอาด รสชาติอร่อย ตามมาตรฐานดังกล่าว ผู้ประกอบการต้องจัดการปรับปรุงและดูแลร้านอาหารให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอาหารทั้งหมด 15 ข้อ เริ่มตั้งแต่สถานที่ต้องสะอาดเป็นระเบียบและจัดเป็นสัดส่วน ต้องเตรียมปรุงอาหารบนโต๊ะที่สูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร อาหารปรุงสุกมีการปกปิด ใช้สารปรุงแต่งอาหารมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร(อย.) น้ำดื่มและน้ำแข็งที่ใช้บริโภคต้องสะอาด ล้างภาชนะด้วยน้ำยาล้างภาชนะ อุปกรณ์ต่าง ๆ วางตั้งเอาด้ามขึ้นในภาชนะโปร่งสะอาด และมีการรวบรวมมูลฝอยและเศษอาหารเพื่อนำไปกำจัด อีกทั้งผู้สัมผัสอาหารแต่งกายสะอาด ใช้อุปกรณ์ในการหยิบจับอาหารที่ปรุงสำเร็จแล้ว ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

ส.ปชส.ลำปาง/ข่าว
ข่าวโดย : ส.ปชส.ลำปาง/ข่าว
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

เปิดสายด่วน โทร.1330 สำหรับผู้ถือบัตรทอง

สายด่วน โทร.1330 สำหรับผู้ถือบัตรทอง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080704103943
4 กรกฎาคม 2551 / 10:39:43

นายแพทย์ศิริชัย ภัทรนุธาพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง กล่าวว่า บัตรทองหรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบัตรที่ออกโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เป็นสิทธิเข้ารับบริการสาธารณสุขจากหน่วยบริการของคนไทยทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นผู้ที่ได้รับสิทธิจากระบบสวัสดิการการรักษาพยาบาลของรัฐหรือกองทุนประกันสังคม

ขณะนี้คนลำปางส่วนใหญ่ใช้สิทธิดังกล่าวจาก 13 อำเภอกว่า 5 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 78 ในอดีตหลายครอบครัวเมื่อมีการเจ็บป่วยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเอง หลายครอบครัวต้องยอมล้มละลายเพื่อรักษาชีวิต

สำหรับสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรทอง ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมสุขภาพหญิงมีครรภ์ทั้งก่อนและหลังคลอด การดูแลสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค บริการวางแผนครอบครัว การตรวจ การวินิจฉัย การรักษาโรค และการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ ค่ายาและเวชภัณฑ์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ รวมถึงการจัดส่งต่อเพื่อการรักษาระหว่างหน่วยบริการ

“เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้รู้สิทธิ หน้าที่ และการเข้าถึงบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ขณะนี้มีโทรศัพท์สายด่วนที่ โทร.1330 สำหรับสอบถามข้อมูลบัตรทอง บริการตลอด 24 ชั่วโมง”

และกล่าวตอนท้ายว่าประชาชนคนใดยังไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพ สามารถขอลงทะเบียนทำบัตรทองได้ที่ สถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชน หรือหน่วยบริการที่มีสถานที่ตั้งใกล้เคียงกับที่อยู่ของผู้มีสิทธิบัตรทอง โดยนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน(เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตร) พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านเป็นหลักฐาน

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำปาง/ข่าว
ข่าวโดย : ส.ปชส.ลำปาง/
ข่าวหน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

3 องค์กรเอกชน มุ่งปั้นทายาทธุรกิจลำปาง

3 องค์กรภาคเอกชนในลำปาง ร่วมลงนามความร่วมมือทางวิชาการ สร้างทายาททางธุรกิจ หวังผลักดันให้มีการพัฒนาธุรกิจ การค้า ในจังหวัดลำปาง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080703153523
3 กรกฎาคม 2551 / 15:35:23

ที่วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง หอการค้าจังหวัดลำปาง วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง และโรงเรียนลำปางพาณิชยการและเทคโนโลยี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนการให้บริการวิชาการ ด้วยการจัดอบรม สัมมนา ให้คำปรึกษา แนะแนวทางการลงทุนให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดลำปาง เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข็มแข็งและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางการค้าสู่สากล

โดยนายประสิทธิ์ สิริศรีสกุลชัย ประธานหอการค้าจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ในจังหวัดลำปาง เป็นธุรกิจครอบครัวและเป็นคนท้องถิ่น การสืบทอดองค์ความรู้ธุรกิจมีไม่มากนัก ทำให้การสืบทอดธุรกิจสู่รุ่นลูกหลานขาดหายไป ดังนั้น การให้บริการวิชาการด้านข้อมูลการดำเนินธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจมีความผันผวนมาก มีการแข่งขันสูง ต้องเรียนรู้เท่าทันสถานการณ์ต่าง ๆ

กิจกรรมความร่วมมือ 3 องค์กร ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม งานวิจัย รวมถึงสร้างนวัตกรรมใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงนักศึกษา จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ได้สืบทอดธุรกิจจากบรรพบุรุษ โดยสร้างเป็นเครือข่ายร่วมกันพัฒนาธุรกิจ หรือต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ให้สามารถอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ด้าน ดร.จักรพันธ์ พรนิมิตร อธิการบดีวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง กล่าวว่า เป็นมิติใหม่ที่หน่วยงาน 3 องค์กร เข้ามาร่วมกันพัฒนาธุรกิจ SME ของจังหวัดลำปาง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องสืบทอดธุรกิจ ให้มีความเป็นมืออาชีพ และมีเป้าหมายให้ธุรกิจในลำปางมีความเจริญเติบโต และสามารถแข่งขันทางการตลาดในระดับชาติ สำหรับกิจกรรมแรกที่ 3 หน่วยงานจะจัดร่วมกันคือ อบรมทายาทธุรกิจ รุ่นที่ 1 ในวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นทายาทของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการอาชีพอิสระที่ตั้งใจจะเป็นผู้ประกอบการ หรือลูกจ้างหรือผู้ว่างงานที่สนใจ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น ผู้ประกอบการใหม่

ข่าวโดย : จันทร์สวย บุญนำมา สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ขนส่งเตือน ห้ามใช้ถึงก๊าซหุงต้มติดตั้งรถยนต์

ขนส่งจังหวัดลำปาง เตือนประชาชนที่นำรถยนต์ไปติดตั้งแก๊ส ต้องมีวิศวกรรับรองมาตราฐาน และห้ามนำเอาถังที่บรรจุก๊าชที่ใช้หุงต้มมาติดตั้งอย่างเด็ดขาด
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080703153327
3 กรกฎาคม 2551 / 15:33:27

นายบุญเสริม สบายฤทัย ขนส่งจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่าในปัจจุบันได้มีประชาชนหันมาใช้พลังงานทางเลือกมาก โดยนำรถยนต์ไปติดตั้งแก๊ส แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการติดตั้งแก๊สดังกล่าว ต้องให้สำนักงานขนส่งตรวจสภาพและรับรองโดยวิศวกรที่ได้มาตราฐานของสำนักงานขนส่ง

ที่ผ่านมามีรถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส นำรถยนต์ไปตรวจสภาพและรับรองที่สำนักงานขนส่งจังหวัดลำปาง ทั้ง 3 แห่งวันละไม่น้อยกว่า 30 คัน โดยมากจะเป็นรถยนต์ติดตั้ง แอล พี จี โดยที่ผ่านมามีจำนวนรถยนต์ LPG แล้วจำนวน 3,252 คัน และรถติดตั้งแก๊ส NGV 186 คัน

ขนส่งจังหวัดลำปางกล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนที่นำรถยนต์ติดตั้งแก๊สที่อู่หรือสถานบริการต่าง ๆ ควรมีการตรวจสอบให้แน่ใจว่า อู่หรือสถานบริการ ที่จะทำการติดตั้งต้องมีการรับรองจากวิศวกรประจำอู่ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ ตลอดจนการติดตั้งจะต้องมีระบบความปลอดภัยอย่างดี และห้ามนำเอาถังบรรจุก๊าซหุงต้มมาติดตั้งในรถยนต์โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจจะเกิดเป็นอันตรายได้

ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

คุ้มครองผู้บริโภคบุกจับสินค้าประหยัดไฟหลอกลวงที่คลองถม

สคบ.บุกตรวจค้นจับกุมผู้ประกอบการหลอกลวงขายสินค้าเครื่องประหยัดไฟฟ้า
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080702154541
2 กรกฎาคม 2551 / 15:45:41

นายสามารถ ลอยฟ้า รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า จังหวัดลำปาง ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคว่า บริเวณตลาดคลองถมเซ็นเตอร์ ได้มีกลุ่มบุคคลทำการจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า ให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยมีการกล่าวอ้างว่าสามารถช่วยประหยัดค่าบริการไฟฟ้าได้ 10-14% รวมถึงมีการแสดงฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สินค้าดังกล่าวจำหน่ายตั้งแต่ 99 บาท ถึง 3,500 บาท

การไฟฟ้านครหลวงได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ตามที่กล่าวอ้าง และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมิได้ให้การรับรองฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค

โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับกองบังคับการทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จำหน่ายสินค้าที่หลอกลวงผู้บริโภคดังกล่าว โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 ราย พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาขายสินค้าฉลากเป็นเท็จ ตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค 2522 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จังหวัดลำปาง จึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ระมัดระวังอย่าหลงซื้อสินค้าดังกล่าวไปใช้ และหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าดังกล่าว โปรดแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดลำปางทราบเพื่อดำเนินการตรวจสอบ และจับกุมผู้จำหน่ายสินค้าต่อไป หมายเลขโทรศัพท์ 054-265069,054-265070

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำปาง / ข่าว
ข่าวโดย : ส.ปชส.ลำปาง/ข่าว
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

การค้าภายในลำปางยันแก๊ส LPG ในลำปางยังไม่มีปัญหากักตุน

การค้าภายในลำปาง ระบุ การจำหน่ายแก๊ส LPG ในลำปาง เป็นไปตามปกติไม่มีปัญหาการกักตุน หลังออกตรวจสอบปั้มแก๊สในตัวเมืองลำปาง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080702163545
2 กรกฎาคม 2551 / 16:35:45

นางเบญจวรรณ ตัญญู การค้าภายในจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า การค้าภายในลำปาง ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานพลังงานจังหวัดลำปาง ออกตรวจสอบดูแลร้านค้าและปั้มที่จำหน่ายแก๊ส LPG ในตัวเมืองลำปาง หลังมีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการกักตุนแก๊สหรือบางปั้มแก๊สหมด ไม่มีจำหน่ายให้ลูกค้า

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบปั้มแก๊ส LPG ประมาณ 5 แห่ง พบว่า ไม่ได้เกิดปัญหาการกักตุน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวนั้น แก๊สในปั้มบางแห่งหมดจริง เนื่องจากติดขัดในการขนส่งเคลื่อนย้ายไม่ทันเท่านั้น ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ละปั้มมีปริมาณแก๊สเพียงพอต่อความต้องการใช้งาน สำหรับร้านจำหน่ายแก๊สในภาคครัวเรือน การจำหน่ายก็อยู่ในช่วงปกติเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้กรมการค้าภายในยังมีการออกตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ดูว่าปริมาณที่เก็บไว้เป็นอย่างไร ปริมาณการขายพอเพียงต่อผู้บริโภคหรือไม่ เพราะปริมาณการใช้แก๊สเพิ่มขึ้น จากการใช้ในรถยนต์ที่มีการติดตั้งระบบแก๊สมากขึ้น ส่วนการใช้ในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมก็ใช้ปกติอยู่แล้ว

ข่าวโดย : สส
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

เวิร์คช็อปพี่น้องคนเมือง เย้า มูเซอแถบเมืองปาน แจ้ห่ม เพิ่มศักยภาพ

จ.ลำปาง เพิ่มศักยภาพ แกนนำกลุ่มชาวไทยภูเขาในพื้นที่อำเภอเมืองปานและแจ้ห่ม เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นหมู่บ้านเข้มแข็ง จัดอบรมและศึกษาดูงาน
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080702105012
2 กรกฎาคม 2551 / 16:38:26

นายปิ่นชาย ปิ่นแก้ว พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลำปาง กล่าวในการเป็นประธานเปิด อบรมเชิงปฏิบัติการกระบวนการเรียนรู้ชุมชนเข้มแข็งเพื่อการพึ่งพนเอง ที่ศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ 51 จ.ลำปาง ว่า ในพื้นที่อำเภอเมืองปานและแจ้ห่ม มีกลุ่มชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่ในชุมชนพื้นที่สูง เช่น เผ่าเย้า เผ่ามูเซอ และชาวไทยพื้นเมืองจำนวนมาก

และพื้นที่ส่วนใหญ่มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ หรือเชิงอนุรักษ์ ประกอบกับนโยบายของจังหวัดลำปางส่งเสริมและผลักดันให้เกิดหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริมจากขายสินค้าชุมชน และจัดทำอาหารตลอดจนจัดที่พักเป็นโฮมสเตย์ รวมถึงเป็นมัคคุเทศน์ท้องถิ่น

ซึ่งสิ่งต่าง ๆเหล่านี้เป็นการจัดการของชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนนั้น ๆ ปัจจุบันก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ไม่ได้จัดเป็นระบบเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมของท้องถิ่น ยังเป็นลักษณะแบบส่วนบุคคล ทำให้ชุมชนไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ควรพึงมีพึงได้

จึงได้จัดอบรมแกนนำชุมชนบนพื้นที่สูงในอำเภอเมืองปานและแจ้ห่ม จำนวน 40 คน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกัน รวมถึงนำไปศึกษาดูงานในชุมชนต้นแบบที่บ้านสามขา อ.แม่ทะ เพื่อนำแบบอย่างมาปรับใช้ในพื้นที่รวมถึงมีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการจัดการของชุมชนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

มทบ.32 จัดงานคล้ายวันอสัญกรรมเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี

มณฑลทหารบกที่ 32 จัดงานวันคล้ายวันอสัญกรรมของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080702105012
2 กรกฎาคม 2551 / 10:50:12

มณฑลทหารบกที่ 32 จัดงานวันคล้ายวันอสัญกรรมของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง –ชูโต)

พลตรีสุรพล เจียมสมบูรณ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 เปิดเผยว่า ด้วยวันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันอสัญกรรมของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระเยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง – ชูโต)

เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2394 และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ด้วยวีกรรมอันดีงามยังคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศไทยและชาวไทย อาธิ เป็นอุปฑูตไปเจรจาการเมืองประเทศอังกฤษ สร้างกระทรวงกลาโหม โรงเรียนนายร้อยสราญรมย์ โรงเรียนหลวง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และขุดคลองรังสิต ตั้งโรงไฟฟ้า ฯลฯ

นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปปราบฮ่อ และปราบเงี้ยวกบฎที่มณฑลพายัพ ณ เมืองแพร่ นครลำปาง เมื่อปี พ.ศ. 2428 และ 2445 ตามลำดับ และได้กราบบังคมทูลขอจัดตั้งกองทหารขึ้นที่นครลำปาง

ดังนั้นกองทัพบกจึงได้นำนามของท่านมาตั้งเป็นชื่อค่ายทหารคือ “ค่ายสุรศักดิ์มนตรี” จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2495 และเพื่อรำลึกและแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน เหล่าบรรดาข้าราชการทหาร ค่ายสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดลำปางและใกล้เคียง รวมทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา พ่อค้า ประชาชน จึงกระทำพิธีวางพวงมาลาเพื่อสักการะดวงวิญญาณท่าน ณ บริเวณอนุสาวรีย์จอมพลและมหาอำมาตย์เอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี หน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ในวันดังกล่าว.

ข่าวโดย : นงค์เยาว์ ปัจจามิตร์ ข่าว
ธงชัย ภาพหน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง .
...
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

อบรมครูสอนพระปริยัติธรรม เขต6 ลำปาง

โครงการอบรมครูสอนพระปริยัติธรรม เขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 6 ที่จังหวัดลำปาง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080701163225
1 กรกฎาคม 2551 / 16:32:25

คณะสงฆ์ภาค 6 กว่า 200 รูป เข้าร่วมโครงการอบรมครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพครูสอนพระปริยัติธรรม
ที่วัดทุ่งบ่อแป้น อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปาง จัดอบรมครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม ประจำปี 2551 ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 6 โดยมีพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยนายมงคล ขับผาบ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปาง กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ศึกษาและจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสงฆ์ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมพัฒนาตลอดจนรับทราบปัญหาในการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม พบว่า

บุคลากรที่มีส่วนขับเคลื่อนการศึกษาพระปริยัติธรรม คือพระสงฆ์ที่ผ่านอบรมจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบัน บางรูปลาสิกขา บางรูปก็มรณภาพ หรือย้ายสังกัด หรือได้เลื่อนสมณศักดิ์ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่สอนแล้ว ในขณะเดียวกัน พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่สอนอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้ผ่านการอบรม หรือขึ้นทะเบียนเป็นครูสอน ทำให้ขาดแคลนบุคลากรครูผู้สอนในแต่ละพื้นที่

โดยสำรวจและคัดเลือกครูสอนทั่วประเทศ 3,500 รูปเข้าอบรมและขึ้นทะเบียน สำหรับในเขตปกครองภาค 6 ได้จัดโครงการอบรมครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม ขึ้น โดยมีครูผู้สอนเข้าอบรม ประกอบด้วย พระสงฆ์จากจังหวัดเชียงราย 81 รูป , แพร่ จำนวน 46 รูป , น่าน จำนวน 38 รูป , พะเยา จำนวน 28 รูป และจังหวัดลำปาง 33 รูป โดยมีรูปแบบอบรม เป็นการบรรยายพิเศษ และการฝึกปฏิบัติ ทั้งนี้ กำหนดจัดระหว่างวันที่ 1-5 กรกฎาคม 2551 เป็นเวลา 5 วัน

ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

โปรเจ็กต์จังหวัดช่วยลดภาระน้ำมันแพง?

จังหวัดลำปางเปิดโครงการรับส่งนักเรียน ฟรี ลดภาระผู้ปกครองยุคน้ำมันแพง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080630153557
30 มิถุนายน 2551 / 09:28:38

เช้าวันนี้ (30 มิ.ย.51) นายชาย พานิชย์พรพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางเปิดเผยว่า ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (นาย ดิเรก ก้อนกลีบ) ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาจังหวัดลำปางว่า “เฮาฮ่วมกั๋นแป๋งฮื้อนครลำปาง ม่วนจื้นตึงคนอยู่คนเยือน” (ลำปางนครผาสุกทั้งคนอยู่ทั้งคนเยือน) และกำหนดยุทธศาสตร์ ในการสร้างลำปางเป็นนครคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมผาสุก

จึงได้จัดรถยนต์ชุมชนเมืองที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่มีราคาแพงอีกทั้งยังเป็นการลดปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ขนส่งจังหวัดลำปาง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อดำเนินการตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีแนวคิดในการทำโครงการที่สอดคล้องวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของจังหวัด

โดยดำเนินการสำรวจเส้นทางเดินรถรับส่งนักเรียน ในเบื้องต้นทำการสำรวจไว้ 3 เส้นทาง ได้แก่
เส้นทางตลาดรัตน์ วิทยาลัยอาชีวะลำปาง
เส้นทางวงกลมห้าแยกหอนาฬิกา(ถนนฉัตรไชย-วิทยาลัยเทคนิค)
และเส้นทางวงกลมห้าแยกหอนาฬิกา(ถนนบุญวาทย์-ถนนรอบเวียง)

โดยเส้นทางที่ผ่านการพิจารณาจากจังหวัดเพื่อจัดให้มีการรับส่งนักเรียน ได้แก่ เส้นทางตลาดรัตน์-วิทยาลัยอาชีวะลำปาง ระยะทางรวม 5.7 กิโลเมตร

สำหรับรถที่จะนำมาให้บริการเป็นรถยนต์โดยสารของโรงเรียนลำปางเทคโนโลยี จำนวน 24 ที่นั่ง เพื่อรับส่งนักเรียนนักศึกษาที่จะเดินทางจากที่พักไปยังสถานศึกษาต่าง ๆ ได้แก่ โรงเรียนผดุงวิทย์ โรงเรียนเทศบาล 5 โรงเรียนมัธยมวิทยา โรงเรียนอรุโณทัย โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง โรงเรียนลำปางกัลยาณี โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย และวิทยาลัยอาชีวะลำปาง

จึงประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียน นักศึกษาของสถานศึกษาดังกล่าวใช้บริการได้ในช่วงเช้า 06.00 น. และช่วงเย็น 15.30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยมีพิธีเปิดในเช้าวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2551 เรียบร้อยแล้ว จังหวัดลำปางจะได้จัดให้มีพิธีเปิดการให้บริการรถรับส่งนักเรียนเที่ยวแรก ณ บริเวณตรงข้ามตลาดรัตน์ (ตลาดเก๊าจาว) คาดว่าจะมีผู้สนใจใช้บริการเป็นจำนวนมากเนื่องจากการเดินรถใช้เวลาตลอดเส้นทางเพียง 45 นาทีเท่านั้น.

ข่าวโดย : นงค์เยาว์ ปัจจามิตร์ ข่าว
หน่วยงาน : ส.ปชส.ลำปาง
....
เปิดบริการแล้ว รถยนต์โดยสารรับ-ส่งนักเรียน นักศึกษาในตัวเมืองลำปาง บริการไปยังสถานศึกษาวันละ 2 เที่ยว เพื่อลดภาระผู้ปกครองในยุคน้ำมันแพง
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=08063009531630
มิถุนายน 2551 / 09:53:16


ที่บริเวณตรงข้ามลานเอนกประสงค์ชุมชนนาก่วมเหนือ นายชาย พาณิชพรพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานเปิดโครงการ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของชุมชนเมือง ด้านการขนส่ง โดยเป็นการเปิดเดินรถยนต์เที่ยวแรก ได้รับความสนใจจากนักเรียน นักศึกษา ร่วมใช้บริการเที่ยวแรกจำนวนมาก

ซึ่งโครงการดังกล่าวจัดขึ้น ตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ในการช่วยเหลือประชาชนในยุคน้ำมันแพงและค่าครองชีพสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ปกครองของเด็กนักเรียน นักศึกษาที่ต้องส่งลูกหลานเดินทางไปโรงเรียนโดยใช้รถยนต์ประจำทางแต่ละวัน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของนักเรียน ประกอบกับแนวคิดในการพัฒนาจังหวัดลำปาง ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสร้างลำปางเป็นนครคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมผาสุก จังหวัดลำปางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ได้จัดให้มีบริการรถยนต์โดยสาร รับ-ส่งนักเรียน นักศึกษา ไปยังสถานศึกษา ในเส้นทางตลาดรัตน์(เก๊าจาว) ไปจนถึงโรงเรียนเทศบาล 6 (วัดป่ารวก) ซึ่งเส้นทางดังกล่าวจะผ่านโรงเรียนต่าง ๆในเขตเทศบาลนครลำปาง เป็นระยะทางกว่า 5.7 กิโลเมตร จัดบริการวันละ 2 เที่ยว ช่วงเช้าเวลา 06.30 น. และช่วงเย็น เวลา 15.30 น. สำหรับรถที่นำมาให้บริการเป็นรถยนต์โดยสารจำนวน 24 ที่นั่ง

ข่าวโดย : จันทร์สวย บุญนำมา
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ปตท.ลำปางยัน มีแก๊สLPG สำรองพอใช้แน่

ปตท.ลำปาง ยืนยัน คลังปิโตรเลียมลำปาง มีแก๊ส LPG สำรองเพียงพอต่อการใช้งานทั้งในภาคครัวเรือนและขนส่ง ของประชาชนในภาคเหนือตอนบน
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080630153557
30 มิถุนายน 2551 / 15:35:57

นายชยุต พันธุมิตร ผู้จัดการส่วนคลังปิโตรเลียมลำปาง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คลังปิโตรเลียมลำปาง มีพื้นที่ดูแลในการจ่ายก๊าซให้กับผู้ประกอบการใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน

โดยมีถังบรรจุก๊าซ LPG ขนาดใหญ่ 2 ถัง จำนวนความจุถัง ใบละ 1,000 ตัน หรือ 1 ล้านกิโลกรัม สามารถจ่ายก๊าซให้กับผู้ประกอบการได้วันละ 2,000 ตันต่อวัน

เดิมก่อนที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นมียอดจ่ายก๊าซ LPG วันละ 550 ตัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 700 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ถือว่าการจ่ายแก๊สอยู่ในช่วงปกติ และตนยืนยันว่าไม่มีการขาดแคลน ส่วนราคาแก๊สเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐ

ทั้งนี้ จังหวัดที่มียอดมาซื้อก๊าซไปจำหน่ายต่อเดือนมากที่สุด ได้แก่ เชียงใหม่ 2,500 ตัน รองลงมา เชียงราย 1,600 ตัน และลำปาง 1,000 ตัน สำหรับยอดการใช้ก๊าซ LPG ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ทางคลังปิโตรเลียมลำปาง ได้ทำการตรวจสอบพบว่าเป็นยอดที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานในภาพรวมทั้งครัวเรือนและด้านขนส่ง

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ประชาชนเถินบวชป่าสร้างจิตสำนึก

กลุ่มพลังมวลชนและประชาชนในตำบลเวียงมอก อำเภอเถิน จังหวัดลำปางกว่า 500 คนทำพิธีบวชป่าเพื่อสร้างจิตสำนึกแก่เด็กและเยาวชน
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080627155207
27 มิถุนายน 2551 / 15:52:07

กลุ่มพลังมวลชนและประชาชนในตำบลเวียงมอก อำเภอเถิน จังหวัดลำปางกว่า 500 คนทำพิธีบวชป่าเพื่อสร้างจิตสำนึกแก่เด็กและเยาวชน

นาย จรินทร์ เทือกถา ประธานชุมชนและประธานสภาเทศบาลเวียงมอก กล่าวว่า ในพื้นที่ตำบลเวียงมอกก่อนหน้านั้นได้มีนายทุนตลอดจนประชาชนที่อาศัยเข้ามาตัดไม้ทำลายป่ากันเป็นจำนวนมากมาเมื่อปี 2534-2536 ทางคณะกรรมการของหมู่บ้านได้ออกมารณรงค์ให้ประชาชนอนุรักษ์ผืนป่าไม้ชึ่งประชาชนบางส่วนก็เห็นชอบและบางส่วนก็มีกระแสต่อต้าน สร้างแรงกดดันให้กับคณะกรรมการมาตลอด

จนมาเมื่อปี 2550 ประชาชนในพื้นที่ต่างเห็นความสำคัญของผืนป่าไม้ที่ถูกทำลายส่งผลกระทบหลายทางทั้งอากาศร้อนขึ้น และฝนตกไม่ตามฤดูกาล เกิดอุทกภัยวาตะภัยกันบ่อยครั้ง จึงเห็นความสำคัญของป่าไม้จึงได้ร่วมกันอนุรักษ์ป่าไม้อย่างจริงจังและรู้คุณค่าของป่าไม้ที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตให้คนอยู่กับป่าอาศัยผืนป่าได้ใช้ประโยชน์ โดยการทำพิธีบวชป่าในวันนี้ได้มีนายสุวิทย์ เล็กกำแหง นายอำเภอเถิน พร้อมนำพระสงฆ์มาสวดและทำพิธีสาบแช่ง หากใครมาตัดต้นไม้ทำลายป่า ตลอดจนห้ามล่าสัตว์ ในป่าชุมชนดังกล่าวก็จะมีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แจ้งให้กับกรรมการหมู่บ้านและจะดำเนินตามกฏหมายโดยไม่มีการละเว้นอย่างเด็ดขาด

ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท. ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ปิดป่าแม่พริก ตั้งด่านกันคนนอกจับอึ่ง

ปิดป่าแม่พริก ตั้งด่านกันคนนอกจับอึ่ง
โดย ลานนาโพสต์ออนไลน์
ที่มา : http://www.lampangpost.com/news/672-2.htm

สถานการณ์การบุกรุกทำลายป่าไม้มีจำนวนมาก ทำให้จำนวนป่าไม้ลดลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนและมาตรการป้องกันและรักษาป่าและฟื้นฟูสภาพป่าปี2551-2555 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550

และกรณีที่นายชาย พานิชพรพันธุ์ รองผวจ.ลำปางได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรส่วนท้องถิ่นและอำเภอทุกแห่ง เรื่องมาตรการป้องกันรักษาและฟื้นฟูสภาพป่า ขอให้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปลูกป่าใช้สอย ด้วยการปลูกพันธุ์ไม้โตเร็ว เช่น ตะกู ยูคาลิปตัส ขี้เหล็ก ประดู่ ต้นแค กระถินยักษ์และสะเดา

ตลอดจนการสร้างเครือข่าย ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันรักษาป่าให้มีการสร้างแนวร่วมทางสังคมด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน จับตาและเฝ้าระวังในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ ให้มีการสนับสนุนและยกย่องผู้ทำประโยชน์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีการฝึกอบรมประชาชนในพื้นที่ให้เรียนรู้เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ การฝึกอบรมประชาชนเป็นอาสาสมัครพิทักษ์ป่า การอบรมเยาวชนเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้การจัดค่ายเยาวชน

ที่สำคัญนายชาย พานิชพรพันธุ์ รองผวจ.ลำปาง ยังแนะนำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ด้วยการสร้างจิตสำนึกและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นในการอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรป่าไม้ พร้อมกับการประสานงานข่าวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ให้ข้อมูลการบุกรุกทำลายป่า การเฝ้าดูพฤติกรรมบุคคลในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย

นายบัณฑิต สิงห์ใจมา นายกเทศมนตรีตำบลแม่พริก เปิดเผยว่าทางเทศบาลตำบลแม่พริกได้มองเห็นความสำคัญของมาตรการป้องกันรักษาและฟื้นฟูสภาพป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าแม่พริก กล่าวกับผู้สื่อข่าวลานนาโพสต์ว่า “ป่าไม้แม่พริกในอดีตเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ แต่กลับถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากจากฝีมือของคนต่างถิ่นที่เข้ามาหาของป่า บางรายไม่ได้ของป่าก็ตัดเอาไม้เพื่อนำออกไปทำฟืน แม้แต่ลูกวัวตัวเล็กๆที่ชาวบ้านปล่อยเลี้ยงเอาไว้ในป่าก็ขโมยเอาไป เขาใช้วิธีเอาใส่รถแล้วให้คนเหยียบเอาไว้เพื่อไม่ให้คนเห็น” “ป่าแม่พริกหน้าฝนเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยของป่า อาทิ อึ่ง เห็ดโคน คนพวกนี้ ไปหาเห็ดตอนเช้ามืดเจออึ่งซึ่งจะไข่ช่วงเช้ามืด ถ้าเป็นคนบ้านเราจะไม่จับปล่อยเพื่อให้มันขยายพันธุ์ แต่ถ้าเป็นคนจากถิ่นอื่นเขาไม่สนใจจะจับอย่างเดียว คนพวกนี้จะมาตั้งแต่ยังไม่มืดค่ำ ตะวันตกดินก็กางเต็นท์พอฝนเริ่มตกอึ่งออกมาเล่นฝนก็เอาไฟจี้ใส่จับเอาไปทันทีไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ อึ่งหนีลงน้ำก็ใช้แหเหวี่ยงเอายอจับ คนแม่พริกเราหากินก็จริงแต่ก็ปล่อยให้อึ่งได้ขยายพันธุ์ ตัวเล็กตัวน้อยเขาจะไม่จับ”

นายบัณฑิตเผยต่อว่า “เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา ตนเคยปิดป่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นป่ากลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่พอยกเลิกคำสั่งคนจากต่างถิ่นได้ทะลักเข้ามาทำลายป่ากันอีก เข้ามากันมากมายมาจากท้องที่อื่นมีทั้งจาก ตาก สุโขทัย แพร่ มากันมากกว่าคนแม่พริกทำมาหากินเสียอีก จนในชาวบ้านร้องมากับตนว่าทนไม่ไหวแล้ว ขอให้ปิดป่าเหมือนเดิมเถอะ จึงตัดสินใจทำประชาคมผลปรากฏว่าคนอำเภอแม่พริกเห็นด้วย จึงได้ทำโครงการเสนอนายอำเภอแม่พริก ตามนโยบายเร่งด่วนเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนโดยให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรที่ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการแผนและมาตรการป้องกันและรักษาป่าและฟื้นฟูสภาพป่าพ.ศ. 2551 – 2555 นั้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบโดยนายวุฒิพงษ์ แก้วปาเฟือย ปลัดอาวุโสปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอแม่พริก พร้อมได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังองค์กรท้องถิ่นอื่นๆของอำเภอแม่พริกด้วย

เทศบาลตำบลแม่พริก ร่วมกับราษฎรในพื้นที่ และกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนตำบลแม่พริก จัดประชุมเพื่อหารือและหาแนวทางในการอนุรักษ์ป่าชุมชนในเขตพื้นที่ ต.แม่พริก เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 51 ที่ผ่านมา มีประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และป้องกันรักษาป่าชุมชนในพื้นที่โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่า และป่าไม้ ที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมากและเพื่อเป็นการรักษาความสมดุลของสภาวะแวดล้อมและป้องกันภัยธรรมชาติ และที่ประชุมจึงมีมติให้ปิดป่าในพื้นที่ตำบลแม่พริกทั้งหมด พร้อมกับทำหนังสือแจ้งไปยังจังหวัด อำเภอ ทั้งในจังหวัดลำปางและจังหวัดใกล้เคียงให้เตือนราษฎรอีกทางหนึ่ง” “คณะทำงานได้จัดตั้งด่านเฝ้าระวังเส้นทางเข้าออกพื้นที่ตำบลแม่พริก ตลอด 24 ชั่วโมงเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา หากมีการฝ่าฝืนต้องมีโทษปรับ แต่ถ้ามีการทำผิดกฎหมายจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” นายบัณฑิตสิงห์ใจมา นายกเทศมนตรีกล่าวทิ้งท้าย.
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ควันหลงบอลยูโร ... เนื่องมาจากการชิงโชค


บรรยากาศการส่งไปรษณียบัตรทายผลบอล
ภาพจาก http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080627124632

ชาวลำปางสนใจส่งไปรษณียบัตรทายผลฟุตบอลยูโร 2008 ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080627124632
27 มิถุนายน 2551 / 12:46:32

ชาวลำปางสนใจส่งไปรษณียบัตรทายผลฟุตบอลยูโร 2008 ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ ขณะนี้ มียอดจำหน่ายไปแล้ว 4 แสนกว่าฉบับ คาดว่าวันสุดท้ายในการปิดรับการทายผลจะมียอด ไปรษณียบัตรมากกว่านี้

นายสันติ ทิฆัมพรพิทยา หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดลำปาง เปิดเผยถึง สถิติยอดการจำหน่ายไปรษณียบัตรสำหรับการทายผลฟุตบอลยูโร 2008 ของจังหวัดลำปางว่า จนถึงปัจจุบัน มียอดจำหน่ายไปแล้ว 467,498 ฉบับ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 1,126,600 ฉบับ ซึ่งถือว่ายังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่ตั้งไว้ โดยหัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดลำปางคาดการณ์ว่าในเวลาที่เหลือ จนถึงวันปิดรับส่งทายผลน่าจะมียอดจำหน่ายอีก 2 แสนฉบับ โดยบริษัทไปรษณีย์ไทยตั้งเป้า ยอดจำหน่ายไปรษณียบัตรทั่วประเทศไว้ที่ 150 ล้านฉบับ

สำหรับการทายผลครั้งนี้มีรางวัลรวม ทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท รางวัลที่ 1 นั้นเป็นเงินสด 10 ล้านบาท และรางวัลพิเศษอีกมากมายทั้ง รถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ รถจักรยานยนต์ สร้อยคอทองคำ ทีวีแอลซีดี 32 นิ้ว ทั้งนี้ประชาชนสามารถส่งไปรษณียบัตรได้จนถึงเวลา 18.00 น. ของวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2551.

ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

....
คอบอลแห่ซื้อไปรษณีย์ทายผลคึกคัก ลำปางคาดทะลุ 7 แสนฉบับ
โดย ผู้จัดการออนไลน์
27 มิถุนายน 2551 13:36 น.
ที่มา :
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000075718

ลำปาง - แฟนบอลแห่ซื้อไปรษณียบัตรทายผลฟุตบอลยูโร 2008 คึกคัก เฉพาะไปษณีย์ลำปางแห่งเดียว เปิดทำการหนึ่งชั่วโมง ยอดจำหน่ายเกือบ 4 หมื่นฉบับ คาดจนถึงวันพรุ่งนี้จะมียอดจำหน่ายทะลุ 7 แสนฉบับ

รายงานข่าวจากจังหวัดลำปาง แจ้งว่า บรรดาแฟนบอล ต่างพากันไปซื้อไปรษณียบัตร เพื่อทายผลการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ณ ที่ทำการไปรษณีย์ลำปาง ตั้งแต่เช้า โดยหลังเปิดทำการได้เพียง 1 ชั่วโมง มียอดจำหน่ายทะลุ 4หมื่นฉบับ ตลอดครึ่งวันจำหน่ายไปแล้วกว่า 2 แสนฉบับ คาดตลอดทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้จะมียอดจำหน่ายทั้งจังหวัดเกิน 7 แสนฉบับ

ด้าน นายสันติ ทิฆัมพรพิทยา หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ในวันนี้ประชาชนและแฟนบอลต่างมาซื้อไปรษณียบัตรเพื่อทายผลการแข่งขันมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากทราบคราวๆแล้วว่าคู่แข่ง คือ สเปนกับเยอรมัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะซื้อคนละครึ่ง เชียร์สเปน 50 เชียร์เยอรมัน 50

และเนื่องจากในวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการรับทายผลการแข่งขัน ทางไปรษณีย์ทุกแห่งจึงขยายเวลารับทายผลจนถึง 18.00 น.ในส่วนของไปรษณีย์จังหวัดลำปาง ได้เตรียมไปรษณียบัตรไว้จำน่ายทั้งสิ้น 1.3 ล้านฉบับ ขณะนี้จำหน่ายไปแล้ว 4 แสนกว่าฉบับ คาดว่าจนถึงวันพรุ่งนี้น่าจะมียอดเกิน 7 แสนฉบับ หรือประมาณ 70% และเมื่อเทียบกับการแข่งขันเมื่อปี 2547 แล้ว คาดว่าจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

สำหรับที่ทำการไปรษณีย์ในจังหวัดลำปางมีทั้งสิ้น 16 แห่ง ที่ทำการลำปาง จำหน่ายมากที่สุด คือ 3 แสนกว่าฉบับ รองลงมาคือ ที่ทำการสบตุ๋ย และ ที่ทำการแม่วัง จำหน่ายได้กว่า 1 แสนฉบับ โดยทั้ง3 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองทั้งสิ้น
....
ไปรษณีย์บัตรบอลยูโร08 ขายเกือบล้าน
โดย ลานนาโพสต์ออนไลน์

ที่มา : http://www.lampangpost.com/news/674-7.htm

ลำปางยอดขายไปรษณียบัตรพุ่งเกือบ 9 แสนฉบับ ถึง 1.7 ล้านบาท

นายสันติ ทิฆัมพรพิทยา หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการจัดการแข่งขันบอลยูโร และจัดให้มีการทายผลฟุตบอลทางไปรษณียบัตร ทางไปรษณีย์ไทยจึงได้ร่วมกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในการส่งทายผลทีมชนะเลิศฟุตบอลยูโร โดยได้มีประชาชนที่สนใจร่วมสนุกกับการทายผลฟุตบอล ทยอยเข้ามาซื้อไปรษณียบัตรเรื่อยๆ เป็นจำนวนมาก โดยไปรษณีย์ได้จำหน่ายไปรษณียบัตรฉบับละ 2 บาท ตั้งแต่เริ่มเปิดให้มีการทายผลในช่วงวันแรกๆ มีคนเข้ามาซื้อไปรษณียบัตรยังไม่มากนัก จนกระทั่งใกล้วันสุดท้ายที่ทราบผลว่าทีมใดที่จะชิงชนะเลิศจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะประชาชนต่างเริ่มเข้ามาซื้อกันเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งจำหน่ายได้ประมาณ 20,000 ฉบับ จนที่นั่งในไปรษณีย์ไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้ที่มาซื้อไปรษณียบัตรบางคนก็จะนั่งเขียนชื่อ-ที่อยู่ เพื่อส่งทายผลในทันที ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายปีที่มีคนเข้าไปรษณีย์เป็นจำนวนมาก

นายสันติ กล่าวอีกว่า สำหรับยอดขายไปรษณียบัตรในปีนี้ ไปรษณีย์ไทยได้ตั้งยอดขายทั่วประเทศไว้ทั้งหมด 150 ล้านฉบับ

ส่วนไปรษณียบัตรในจังหวัดลำปางเองได้ตั้งเป้าไว้ทั้งหมด 1,126,600 ฉบับ

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายไปรษณีย์ทั้ง 16 แห่งในจังหวัดลำปางมียอดจำหน่ายไปรษณียบัตรทั้งหมด 871,626 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,743,252 บาท ซึ่งไปรษณีย์ลำปางจำหน่ายได้ 289,992 ฉบับ
ไปรษณีย์สบตุ๋ย 75,856 ฉบับ
ไปรษณีย์แม่วัง 83,539 ฉบับ
ไปรษณีย์งาว 36,446 ฉบับ
ไปรษณีย์แจ้ห่ม 35,300 ฉบับ
ไปรษณีย์เกาะคา 66,253 ฉบับ
ไปรษณีย์วังเหนือ 23,217 ฉบับ
ไปรษณีย์แม่ทะ 22,421 ฉบับ
ไปรษณีย์เถิน 62,936 ฉบับ
ไปรษณีย์สบปราบ 20,600 ฉบับ
ไปรษณีย์แม่พริก 21,250 ฉบับ
ไปรษณีย์ห้างฉัตร 28,630 ฉบับ
ไปรษณีย์เสริมงาม 17,513 ฉบับ
ไปรษณีย์แม่เมาะ 60,770 ฉบับ
ไปรษณีย์แม่วะ 8,608 ฉบับ และ
ไปรษณีย์เมืองปาน 18,725 ฉบับ

ซึ่งยอดจำหน่ายในปีนี้ได้น้อยกว่ายอดจำหน่ายครั้งที่แล้ว โดยเมื่อปี 2547 จำหน่ายได้ 979,540 ฉบับ

สำหรับยอดขายที่จำหน่ายได้ 1.7 ล้านบาทนั้นจะต้องร่วมกับส่วนกลางส่งให้กับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐสวนหนึ่งเพื่อนำไปเป็นรางวัลที่จะมอบให้กับผู้โชคดี และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นรายได้ของไปรษณีย์

สำหรับรางวัลผู้โชคดีจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รางวัลที่ 1 เป็นเงินสด 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 เงินสด 1 ล้านบาท จำนวน 10 รางวัล รางวัลที่ 3 เงินสด 1 แสนบาท จำนวน 100 รางวัล นอกจากนั้นยังมีรางวัลพิเศษ รถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ จำนวน 2 รางวัล รถจักรยานยนต์ฮอนด้าไอคอน จำนวน 35 รางวัล สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 50 รางวัล ทีวีสี LCD 32 นิ้ว พร้อมโฮมเธียเตอร์ จำนวน 21 รางวัล ทองคำแท่งหนัก 5 บาท จำนวน 20 รางวัล และบัตรกำนัลเดอะมอลล์มูลค่า 1 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกำลังทำการคัดแยกไปรษณียบัตรที่ส่งมาทั่วประเทศกว่า 100 ล้านฉบับ เพื่อทำการจับรางวัลหาผู้โชคดีต่อไป
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

แก้ไขล่าสุด
พฤหัส 10
กรกฎา 51

ตั้งร.ร.แก้จนคนลำปางพอเพียง

คนเมืองรถม้าเดินตามรอยพ่อ ตั้งร.ร.แก้จนคนลำปางพอเพียง
โดย คมชัดลึก
ที่มา :
http://www.komchadluek.net/2008/06/26/x_agi_b001_208744.php?news_id=208744วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

จากข้อมูลการจดทะเบียนคนจนใน 8 กลุ่มปัญหาของ จ.ลำปาง มีผู้จดทะเบียนขอความช่วยเหลือจากทางภาครัฐแล้วทั้งสิ้น 219,749 คน

ในขณะที่ข้อมูลขั้นพื้นฐานประชาชน หรือ จปฐ.ชาว จ.ลำปาง พบอีกว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะความยากจนตกเกณฑ์ จปฐ. หรือมีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่า 2.3 หมื่นบาทต่อคนต่อปี กระจายอยู่ทั่วจังหวัด เป็นที่มาของ โครงการโรงเรียนแก้จนคนลำปางพอเพียงตามแนวพระราชดำริ มุ่งช่วยแก้วิกฤติและปัญหาคนจนเหล่านี้

ดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า โครงการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้ยึดหลักความพอเพียง และน้อมนำเอาเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ซึ่งจะช่วยสร้างความหวังใหม่ให้แก่คนจน ผู้มีรายได้น้อย ได้มีอาชีพ มีรายได้ อยู่อย่างเพียงพอ ทำให้คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น

โรงเรียนแก้จนคนลำปางพอเพียงฯ เป็นโรงเรียนคล้ายกับโรงเรียนชีวิต โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีอาคารเรียน ไม่มีกระดานดำ โต๊ะเรียน หรือแม้กระทั่งครู แต่เป็นชาวบ้านที่มีจิตอันเป็นสาธารณะ เป็นผู้รู้ ที่เรียกว่า นักปราชญ์ รอบรู้ในวิชาอาชีพทุกๆ ด้าน หรือถนัดอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้ามาเป็นผู้ประสาทวิชา คอยสั่งสอน แนะนำให้หมู่ชาวบ้านที่มาจากครอบครัวที่ยากจน มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จปฐ. รวมถึงประชาชนผู้สนใจ ปัจจุบันสามารถก่อตั้งโรงเรียนแก้จนคนลำปางพอเพียงแล้ว 2 แห่ง ที่ อ.สบปราบ และ อ.เถิน

"ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมอาชีพจากโรงเรียนแก้จน สามารถนำเอาความรู้ที่ได้ไปประกอบสัมมาอาชีพ เช่น การปลูกพืชผักสวนครัว หรือเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อใช้เป็นอาหารในครัวเรือน ทำให้ลดรายจ่ายในหมวดอาหารลงไปได้ และหากผลผลิตดังกล่าวมีมาก ก็ยังสามารถนำไปขายเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวต่อไป ประชาชนที่ผ่านการถ่ายทอดความรู้จำนวนไม่น้อยนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาทรัพยากรครัวเรือน เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือที่ดินของตน ซึ่งปล่อยรกร้างว่างเปล่า ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า" ดิเรกกล่าว

นายสุวิทย์ เล็กกำแหง นายอำเภอเถิน กล่าวถึงความสำเร็จของโรงเรียนแก้จนคนเมืองเถินพอเพียง ว่า บนเนื้อที่การดำเนินงาน 17 ไร่เศษ ของโรงเรียนแก้จนคนเมืองเถิน สภาพดินส่วนใหญ่ค่อนข้างเสื่อม เพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล จึงอาศัยวิธีแกล้งดิน ตามพระราชดำรัสในหลวง พัฒนาให้ดินฟื้นคืนสภาพ กลายเป็นดินที่กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งการขุดสระกักเก็บน้ำไว้ใช้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรหมุนเวียนหลายชนิด ผสมผสานกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ประมง กลายเป็นเกษตรผสมผสาน อาทิ ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงหมูหลุม โคเนื้อ เกษตรอินทรีย์ และปลูกผลไม้ มูลสัตว์ และซากวัสดุเกษตรที่เหลือใช้ยังสามารถใช้ทำปุ๋ยหมักใช้เองโดยไม่ต้องลงทุนซื้อหา

"ทั้งหมดเป็นห่วงโซ่โคจรเศรษฐกิจพอเพียง ที่ลงทุนลงแรงเพียงครั้งเดียว แต่ได้ผลคุ้มค่ามหาศาล มีสมาชิกในโรงเรียนแก้จนจำนวนกว่า 100 คน มาจากชาวบ้านผู้มีรายได้น้อย ตกเกณฑ์ จปฐ.หรือมีรายได้ต่ำกว่า 2.3 หมื่นบาทต่อคนต่อปี ปัจจุบันสามารถส่งขายผลผลิตได้แล้ว 5 รุ่น โดยมีนักปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้มีความรู้ความถนัดในอาชีพต่างๆ กว่า 80 คน เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ครัวเรือนเป้าหมาย" สุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

คดีฟ้องกองทุนเงินกู้ลำปางสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคเหนือ ศาลนัดไกล่เกลี่ย

ศาลแขวงลำปาง จัดโครงการร่วมใจไกล่เกลี่ย คดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080630095449
30 มิถุนายน 2551 / 09:54:49

ศาลแขวงลำปาง จัดโครงการร่วมใจไกล่เกลี่ย คดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หลังจากได้รับฟ้องคดีกองทุน ฯ กว่า 2 พันราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคเหนือ

นายสนิท โพชนะกิจ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลำปาง แจ้งว่า ด้วยศาลแขวงลำปาง ได้รับฟ้องคดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาของ นักเรียน นักศึกษา ของสถาบันการศึกษาในจังหวัดลำปาง จำนวน 2,066 ราย นับว่ามีจำนวนมากติดอันดับ 2 ในภาคเหนือ

ดังนั้น ศาลแขวงจังหวัดลำปาง จึงจัดโครงการ ไกล่เกลี่ยคดีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้จำเลยที่ถูกฟ้องมาศาล เพื่อไกล่เกลี่ยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เพื่อประโยชน์ในการผ่อนชำระหนี้ และแบ่งเบาภาระของลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ในอัตราผ่อนชำระที่ต่ำสุด คือ อย่างต่ำเพียงเดือนละ 400 บาท ของต้นเงิน 30,000 บาท และอย่างสูงเพียงเดือนละ 3,600 บาทของต้นเงิน 350,000 บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลาในการผ่อนชำระยาวนานถึง 9 ปี และจำเลยก็ยังคงมีเครดิตที่ดี ในการทำนิติกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินอื่นอีกต่อไป

ถือเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ จำเลยทุกคนที่ถูกฟ้องในคดีต้องมาศาลตามกำหนดนัด หากไม่สามารถมาศาลได้ ให้มีหนังสือมอบอำนาจ อาจจะมอบให้ญาติหรือจำเลยที่มาศาล เป็นผู้มาศาลทำการเจรจาไกล่เกลี่ย และมีอำนาจลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงผ่อนชำระกับโจทก์แทน

สำหรับข้อเสียของการไม่มาศาล คือ จำเลยจะถูกศาลพิพากษาให้ต้องชำระเงินทั้งหมด ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง และทางกองทุนฯจะส่งชื่อจำเลยไปยังบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ทำให้เสียเครดิตในการทำนิติกรรมกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ กำหนดจัดกิจกรรมในวันที่ 1-29 สิงหาคม 2551 ณ อาคารศาลแขวงลำปาง

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ลำปางจัดงานมหกรรมธงฟ้ามหาชน

ลำปางจัดงานมหกรรมธงฟ้ามหาชน
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080627192554
27 มิถุนายน 2551 / 19:25:54

ลำปางจัดงานมหกรรมธงฟ้ามหาชน และ SCB แฟร์ ครั้งที่ 1 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนจากภาวะน้ำมันแพง และภาระค่าครองชีพ โดยจัดงานระหว่างวันที่ 27 – 29 มิถุนายน 2551 ณ ลานเอนกประสงค์ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง

นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ปัจจุบันจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว

กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดลำปาง ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง หน่วยงานภาคราชการ และเอกชน จึงได้จัดงานมหกรรมธงฟ้ามหาชน โดยนำสินค้าดีมีคุณภาพได้มาตรฐานราคาประหยัด ไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป จากฟาร์มและโรงงาน สินค้าโอทอป พืชผัก ผลไม้ และกุ้งจากเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ผู้บริโภคจะได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาประหยัดและผู้ขายมี ช่องทางการจำหน่ายสินค้าของตนเองได้อีกทางหนึ่ง

จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน มาเลือกซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคได้ในงานดังกล่าว ซึ่งจะจัดงานระหว่างวันที่ 27 – 29 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ณ ลานเอนกประสงค์ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง.

ข่าวโดย : ทีมข่าว สวท. ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง
....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

ลำปางเตรียมจัดงานเทศกาลวันปลา ครั้งที่ 8

ลำปางเตรียมจัดงานเทศกาลวันปลา ครั้งที่ 8
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=080630163814
30 มิถุนายน 2551 / 16:38:14

จังหวัดลำปางเตรียมจัดงานเทศกาลวันปลา ครั้งที่ 8 โดยหวังให้ประชาชนหันมากินปลาเพิ่ม

นายนิพนธ์ อุปการัตน์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมการประมง สำนักงานประมงจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า จังหวัดลำปางได้จัดงานเทศกาลวันปลามาตั้งแต่ปี 2541 เป็นครั้งแรก และได้จัดติดต่อกันมาจนถึงปี 2547 ( ครั้งที่ 7) เป็นครั้งสุดท้าย

การจัดงานที่ผ่าน ๆ มา ได้รับความสนใจจากชาวลำปางเป็นอย่างดี และต้องการให้จัดทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถาม แต่เนื่องจากสำนักงานฯขาดงบประมาณจึงหยุดไปตั้งแต่ปี 2547 และในปี 2551 สมาคมท่องเที่ยวจังหวัดลำปาง อยากให้เทศกาลกินปลาเริ่มใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะหางบประมาณให้บางส่วน สำนักงานฯจึงเห็นว่าการจัดงานดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมากินปลาเพิ่มขึ้น เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการด้านการประมง ประกอบกับให้นักเรียน นักศึกษา กลุ่มแม่บ้าน ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลำปาง จึงได้กำหนดจัดงานเทศกาลวันปลาขึ้น ระหว่างวันที่ 31 กรกฏาคม - 3 สิงหาคม 2551 ณ บริเวณตลาดเทศบาล 4 ( ตรงข้ามห้างบิ๊กซีลำปาง)

สำหรับภายในงานจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น นิทรรศกาลเกี่ยวกับอาหารปลอดภัย นิทรรศการแปรรูปปลาซัคเกอร์ การอนุรักษ์ทรัพยากรประมง การประกวดวาดภาพระบายสีสัตว์น้ำของนักเรียนระดับต่าง ๆ การแข่งขันปรุงอาหาร ตลอดจนการจำหน่ายสินค้าโอท็อปของจังหวัดลำปาง

ข่าวโดย : ชาคริต แสนสุยะ
หน่วยงาน : สถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา จังหวัดลำปาง
.....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

เนื่องมาจากนโยบายรัฐ เอเอสทีวี และเสียงจากคนลำปาง

สมาชิกเคทีวีคัดค้านรัฐปิดเอเอสทีวี
โดย ลานนาโพสต์ออนไลน์
ที่มา :
http://www.lampangpost.com/news/672-4.htm

กลุ่มผู้ใช้บริการเคเบิลทีวีท้องถิ่นเขตเมืองลำปาง ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการสั่งหยุดแพร่ภาพช่อง ASTV ยันหากปิดจริงอาจเดินทางไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรที่ กรุงเทพฯ กลุ่มผู้ใช้บริการ เคเบิลท้องถิ่น หรือสมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่น ในเขตเทศบาลนครลำปาง ต่างแสดงความไม่เห็นด้วย กรณี ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่งให้ ควบคุมมิให้ผู้ประกอบการเคเบิ้ลถ่ายทอดสัญญาณ โดยล่าสุดนายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการทั้ง 5 แห่งของจังหวัดลำปางแล้ว เพื่อขอให้งดการถ่ายทอดสัญญาณ ซึ่งผู้ประกอบการ 4 แห่งจะยุติการเผยแพร่ทันที แต่อีกหนึ่งแห่งคือ เขลางค์นครเคเบิ้ลทีวี ซึ่งมีบริษัทสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดชลบุรี จะขอฟังความชัดเจนจากบริษัทใหญ่ก่อนว่าจะให้ยุติได้เมื่อใด

นายสุรพล ตันสุวรรณ รองนายกเทศมนตรีนครลำปาง หนึ่งในสมาชิกเขลางค์นครเคเบิ้ลทีวี กล่าวว่า การที่มีคำสั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องเพราะประชาชนจะรับชมรับฟังข่าวสารใดๆถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน สำหรับประชาชนที่ติดตามข่าวสารผ่านทางช่อง ASTV หากรับชมไม่ได้ก็จะต้องไปหาช่องทางอื่น และหากหมดหนทางอาจจะต้องไปรวมตัวกันที่สะพานมัฆวานเพื่อจะได้รับทราบข้อเท็จจริง และตนในฐานะสมาชิกเมื่อผู้ประกอบการเคยโฆษณาไว้ว่ามีการถ่ายทอดและให้บริการช่องดังกล่าวด้วย ตนจึงสมัครเป็นสมาชิกเพื่อต้องการชมช่อง ASTV แต่หากงดหรือยุติการเผยแพร่ตนในฐานะสมาชิกก็ถือว่าได้รับความเสียหาย ก็คงต้องเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบการต่อไป

ด้านนายคมกฤช เก็ดเพียร นักวิชาการหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ในส่วนตัวนั้นมีความภูมิใจที่ จ.ลำปางมีสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ได้รับรู้ข่าวสารอย่างแพร่หลาย และเมื่อได้รับทราบข่าวว่ามีการสั่งระงับช่องสัญญาณ ASTV NEW 1 รู้สึกไม่สบายใจ ทั้งที่ประชาชนที่รับชมนั้นต่างมีวิจารณญาณดีพอว่าอันไหนผิดอันไหนถูก ซึ่งการสั่งระงับสัญญาณนี้ตนเองไม่เห็นด้วยและขอไว้อาลัยกับการกระทำครั้งนี้ของคนในรัฐบาล

ส่วนนายสัจจพันธ์ คุรุภากรณ์ อาชีพวิศวกร ได้กล่าวว่า การสั่งระงับสัญญาณตนเองไม่เห็นด้วยเนื่องจากตนเอง เป็นสมาชิกเคเบิลท้องถิ่นและติดตามชมช่องรายการนี้ตลอดมาได้รับรู้ข่าวสารต่างๆและมีวิจารณญาณดีพอว่าจะตัดสินอย่างไร การสั่งปิดสัญญาณนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน ซึ่งยากให้รัฐบาลคิดให้ดีอยากให้ประชาชนนั่งชมอยู่ที่บ้านหรือจะให้ไปรวมตัวกับกลุ่มพันธมิตร

สำหรับนางสาวนพรัตน์ (ไม่เปิดเผยนามสกุล) สมาชิกเขลางค์นครเคเบิ้ลทีวี จ.ลำปาง กล่าวว่า คิดว่าดีแล้วที่มีการปิดช่อง ASTV เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ การที่ประชาชนแตกแยก มารวมกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงไป น้ำมันแพง ข้าวก็แพง สินค้าอื่นๆก็แพงขึ้น ทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้รับความเดือดร้อน ส่วนรัฐบาลก็ไม่ทำงานไม่ดูแลความเดือดร้อนของประชาชน สนใจแต่การแก้รัฐธรรมนูญและปัญหาเรื่องม็อบ ซึ่งการแก้ไขแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้รัฐบาลควรหันมาให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนมากกว่า คิดว่าทุกคนทั้งรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตรเป็นคนที่มีการศึกษากันทั้งนั้น ไม่ควรที่จะมาสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ แต่นำสมองไปคิดแก้ไขปัญหาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองจะดีกว่า

ทั้งนี้ภายหลังผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางมีหนังสือไปยังผู้ประกอบการแล้วได้เรียกประชุมด่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เพื่อให้เข้มงวดและตรวจสอบ 24 ชั่วโมง ว่ายังมีผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนอีกหรือไม่หากพบก็จะให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
.....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51

เตือนอันตรายจากกลอยในการบริโภค

สาธารณสุขลำปาง เตือนอันตรายจากกลอยที่นำมาประกอบอาหาร เพราะกลอยเป็นพืชมีพิษแต่รับประทานได้ หากกำจัดพิษให้หมด
30 มิถุนายน 2551 / 15:49:45
โดย สำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 3 เชียงใหม่
ที่มา :
http://www.lampang.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=080630154945

สาธารณสุขลำปาง เตือนอันตรายจากกลอยที่นำมาประกอบอาหาร เพราะกลอยเป็นพืชมีพิษแต่รับประทานได้ หากกำจัดพิษให้หมด มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หายใจขัด และหมดสติ วอนผู้ผลิต พ่อค้า แม่ค้า กำจัดพิษจากกลอยให้ถูกวิธี ก่อนนำไปประกอบอาหาร เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

นพ.ศิริชัย ภัทรนุธาพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า กลอยเป็นพืชที่มีพิษอยู่บริเวณหัว สารพิษที่พบคือ ไดออสคอรีน ( dioscorine ) โดยจะมีฤิทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นอัมพาต หรือหยุดหายใจได้ นอกจากนี้อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวดแสบปวดร้อนและคันที่ปากและคอ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง หายใจขัด หมดสติ และถ้ารับประทานมาก อาจทำให้ถึงตายได้หลังจากทานแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ทานและความต้านทานของแต่ละคน โดยปริมาณสารพิษจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่เก็บ

หากเป็นช่วงฤดูฝนโดยเฉพาะเดือนสิงหาคม กลอยจะมีพิษมากที่สุด ส่วนฤดูร้อน โดยเฉพาะเดือนเมษายน จะมีพิษน้อยที่สุด ดังนั้น กลอยที่จะนำมาใช้ประกอบอาหารจะต้องผ่านขั้นตอนการกำจัดสารพิษอย่างเพียงพอและถูกวิธี ด้วยการปลอกเปลือกทิ้งแล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำมาแช่ในน้ำเกลือประมาณ 3 วัน ระหว่างนี้ให้เปลี่ยนน้ำเกลือหลายๆครั้ง หรือแช่ในน้ำไหลใช้เวลาประมาณ 3 –7 วัน หรือมากกว่านี้ เพื่อให้น้ำชำระสารพิษออกให้หมดแล้วนำไปนึ่งให้สุกเพื่อประกอบอาหารต่อไป

ที่สำคัญ อย่ารับประทานดิบๆเป็นอันขาด ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการซื้ออาหารที่มีกลอยเป็นส่วนประกอบ เช่น ถั่วทอดผสมกลอย ข้าวเหนียวหน้ากลอย กลอยแกงบวด ให้ซื้อจากผู้ผลิตที่ไว้วางใจได้ว่าใส่ใจในการกำจัดพิษของกลอยจนหมดก่อนนำมาประกอบอาหาร เพราะบริโภคไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า และวอนผู้ผลิต/ผู้ขาย คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยพิถีพิถันในการกำจัดสารพิษในหัวกลอยให้หมดก่อนประกอบอาหารด้วย

ข่าวโดย : สวท.ลำปาง
หน่วยงาน : สวท.ลำปาง

.....
ผู้สื่อข่าว
on Lampang POST

อังคาร 8
กรกฎา 51